svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

"เศรษฐกิจ" คือตัวชี้วัดอำนาจ "สี จิ้น ผิง"

อำนาจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังถูกท้าทายด้วยนโยบายของเขาเอง กับวิกฤตคนโสด (single-man crisis) ที่อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของทำเนียบขาวถึงกับคาดการณ์ไปไกลว่า อาจจะนำไปสู่หายนะของพรรคคอมมิวนิสต์ หรือ CCP

จอห์น โบลตัน อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ (คนที่ 27) ประจำทำเนียบขาว ในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ความเห็นต่อ Daily Express US ว่า การบริหารเศรษฐกิจแบบ "รวมศูนย์" ของสี จิ้นผิง ดูเหมือนจะทำให้เกิดภาวะชะงักงัน และอาจสร้างหายนะให้ CCP การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีน อันเป็นผลมาจากนโยบายของเขา อาจเผยให้เห็น "ความแตกแยกโดยธรรมชาติ" ภายในประเทศ ที่อาจกระตุ้นให้เกิดกระแสต่อต้าน CCP ด้วย

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศที่มีประชากรครองสัดส่วนเป็นอันดับ 1 ของโลก คือ 17.6% แม้ว่าจำนวนประชากรจะเป็นรองอินเดีย แต่อินเดียครองสัดส่วนประชากรโลก 17.5% และแม้จะถูกปกครองอย่างเข้มงวดภายใต้ CCP แต่เมื่อมีสถานการณ์ที่ทำให้เหลืออด ก็มักจะมีผู้กล้าพอที่จะ "แหกกฎ" เพื่อความอยู่รอดเช่นกัน

"เศรษฐกิจ" คือตัวชี้วัดอำนาจ "สี จิ้น ผิง"

ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ การประท้วงต่อต้านมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายใต้นโยบายโควิดเป็นศูนย์เมื่อปีที่แล้ว ที่ประชาชนจำนวนมากรวมตัวกันออกมาเคลื่อนไหวในหลายเมือง ตั้งแต่เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู ซีอาน จนถึงอู่ฮั่น จุดตั้งต้นการระบาดเมื่อ 3 ปีก่อน ขณะที่ผู้ประท้วงในกรุงปักกิ่งชูกระดาษเปล่าสีขาว เพื่อเป็นสัญลักษณ์สะท้อนถึงความไม่พอใจ การตระหนักถึงการปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี

สิ่งที่ออกจากปากของผู้ประท้วงในตอนนั้นคือ

"ไม่ต้องการคำโกหก ต้องการศักดิ์ศรี ไม่ต้องการการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่ต้องการการปฏิรูป ไม่ต้องการผู้นำ ต้องการออกเสียง ไม่ต้องการเป็นทาส อยากเป็นประชาชน"

และยังมีกลุ่มผู้กล้ายิ่งกว่านั้นคือ เรียกร้องให้ สี จิ้นผิง ลาออก 

"เศรษฐกิจ" คือตัวชี้วัดอำนาจ "สี จิ้น ผิง"

โบลตันซึ่งเคยเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ บอกด้วยว่า มีหลายปัจจัยที่กลายเป็นคลื่นใต้น้ำที่กำลังกระแทกใส่เศรษฐกิจของจีน รวมทั้งแรงงานที่ลดลง สวนทางกับการเติบโตของจำนวนประชากรสูงวัย อันเป็นผลพวงมาจากนโยบาย "ลูกคนเดียว" (One Child Policy) อันโด่งดัง 

โบลตันบอกว่า

"สี จิ้นผิง และพรรคคอมมิวนิสต์ ได้รวมอำนาจการควบคุมเศรษฐกิจในแบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน นับตั้งแต่ยุคเหมา เจ๋อตุง"

"พวกเขาจงใจแม้จะรู้ทั้งรู้และยอมรับตามความเป็นจริงที่ว่า กำลังเสี่ยงทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง เพราะต้องการควบคุมทางการเมือง"

"แม้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะโควิด แต่เราไม่รู้เลยว่า ผลกระทบเต็ม ๆ ที่เกิดจากโควิดในจีนเป็นอย่างไร แต่ก็สงสัยว่าจะเลวร้ายกว่าที่ได้รับการบอกเล่า" 

"เศรษฐกิจ" คือตัวชี้วัดอำนาจ "สี จิ้น ผิง"

โบลตันมองว่า ประชาชนชาวจีนได้ยอมแลกเสรีภาพทางการเมืองกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ถ้ารัฐบาลล้มเหลวในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต ก็เป็นอันว่าข้อตกลงได้สิ้นสุดลง ที่อาจกลายเป็นวิกฤตที่คุกรุ่นรอ CCPถ้าสถานการณ์เศรษฐกิจในจีนยังคงรุนแรงขึ้นไปอีก ความแตกแยกตามธรรมชาติที่มีอยู่และสืบทอดกันมานานนับพันปี ก็จะเริ่มกลับมาอีกครั้ง และรัฐบาลไม่อาจจะปกปิดได้ด้วยคำว่า "เพราะเราเป็นประเทศที่ใหญ่ และทุกอย่างเรียบร้อยดี" 

ถ้าจะถามถึงความแตกแยกตามธรรมชาติตัวอย่างก็มีให้เห็น ทิเบตไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของจีน ซินเจียงไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของจีน มองโกเลียในไม่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของจีน แมนจูเรียก็มีประวัติที่ยาวนานที่ไม่ถูกกันเลยกับชาวฮั่น และไต้หวันก็ไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของจีนเช่นกัน ส่วนฮ่องกงที่คิดว่าพวกเขายังพอรับได้เมื่ออยู่ภายใต้ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" (One Country Two Systems) จนกระทั่งเสรีภาพทุกอย่างถูกปิดตาย และเกิดการประท้วงตามที่เห็น

"เศรษฐกิจ" คือตัวชี้วัดอำนาจ "สี จิ้น ผิง"

จีนยังมีประวัติศาสตร์ของการแบ่งแยกเหนือ-ใต้ ที่มีความแตกต่างทางเศรษฐกิจอย่างมาก ระหว่างชายฝั่งที่เจริญรุ่งเรืองกับพื้นที่บนแผ่นดินที่ยากจน ที่หมายความว่า สี จิ้นผิง กับ CCP กำลังเผชิญปัญหาที่ลึกเกินกว่าที่ภายนอกล่วงรู้ 

วิกฤตที่ลึกที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็คือ "เศรษฐกิจ" ขณะที่รายงานที่ช็อกคนทั้งประเทศ ณ ตอนนี้ คือคนรุ่นใหม่ 1 ใน 5 กลายเป็นคนว่างงาน บริษัทยักษ์ใหญ่บางแห่งอยู่ในสถานะใกล้ล้มละลาย การเติบโตของเศรษฐกิจหลังโควิดช้ากว่าที่คาดไว้ และนี่อาจเป็นบททดสอบล่าสุดต่ออำนาจในมือของสี จิ้นผิง กับ CCP ว่าจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร โดยไม่ต้อง propaganda