ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่ข้อตกลงหยุดยิง 72 ชม. จะสิ้นสุดในเวลาเที่ยงคืนของวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น กองทัพตกลงยอมรับข้อเสนอหยุดยิงภายใต้การไกล่เกลี่ยจากชาติเพื่อนบ้านในแอฟริกา รวมถึงสหรัฐฯ อังกฤษ และซาอุดิอาระเบีย และกองกำลัง RSF ยอมตกลงในเวลาต่อมา
แต่ก็ยังมีรายงานการต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงระหว่างกองกำลังของ 2 ฝ่าย ทั้งในกรุงคาร์ทูม เมืองหลวง และแคว้นดาร์ฟูร์ทางภาคตะวันตก เช่นเดียวกับช่วง 3 วันที่ผ่านมา ที่ยังมีการปะทะกันแม้ตกลงหยุดยิง และมีรายงาน เครื่องบินรบลาดตระเวนเหนือกรุงคาร์ทูม ขณะที่นักรบยิงต่อสู้กันด้วยจรวดและปืนกล
การสู้รบตลอด 2 สัปดาห์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 512 ราย และผู้บาดเจ็บราว 4,200 ราย แต่จำนวนที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้ และคาดว่า จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากโรคระบาด และการขาดแคลนบริการขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะโรงพยาบาลส่วนใหญ่ในพื้นที่สู้รบไม่สามารถให้บริการได้
ชาติตะวันตกบางประเทศ เช่น อังกฤษแนะนำเมื่อวันพฤหัสบดีให้พลเมืองเดินทางออกจากซูดานโดยเร็วเท่าที่เป็นไปได้ โดยยอมรับว่า อาจไม่สามารถปฏิบัติภารกิจอพยพได้ เมื่อข้อตกลงหยุดยิงสิ้นสุดลง และสหรัฐฯ เตือนว่า สถานการณ์อาจเลวร้ายได้ทุกเมื่อ พร้อมกับแนะนำให้ชาวอเมริกันอพยพออกจากซูดานภายใน 24-48 ชม.
ขณะที่กองทัพสวีเดนเสร็จสิ้นภารกิจอพยพทั้งพลเมือง และชาวต่างชาติออกจากซูดานแล้วเมื่อคืนวันพุธ แต่กระทรวงต่างประเทศจะยังให้การช่วยเหลือด้านการกงสุลแก่พลเมืองที่ยังอยู่ในซูดานต่อไป และชาวสวีเดนที่ต้องการอพยพยังสามารถเดินทางไปกับเที่ยวบินอพยพของชาติหุ้นส่วนของสวีเดนได้
ส่วนเรือ “อัล-ริยาดห์” ของซาอุดิอาระเบียอพยพประชาชนจากหลายประเทศรวมถึงไทยถึงเมืองเจดดาห์ของซาอุดิอาระเบียเมื่อค่ำวันพฤหัสบดี
ขณะที่ชาวซูดานยังคงหนีการสู้รบข้ามพรมแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยอย่างน้อย 20,000 คน เข้าไปในชาด และอีกหลายพันคนเข้าไปในซูดานใต้ เอธิโอเปีย และสาธารณรัฐแอฟริกากลาง แต่คาดว่า ผู้อพยพอาจสูงขึ้นเป็น 270,000 คน หากการสู้รบยังดำเนินต่อไป
หลายฝ่ายกังวลว่า คู่ขัดแย้งยังไม่มีแนวโน้มว่าจะยอมเริ่มเข้าสู่โต๊ะเจรจาได้ในเร็ว ๆ นี้ เพราะทั้งสองฝ่าย เชื่อว่า จะสามารถมีชัยชนะเหนืออีกฝ่ายได้ และนักวิเคราะห์ มองว่า การหาทางบรรลุข้อตกลงยุติการสู้รบในซูดานจำเป็นต้องอาศัยแรงกดดันทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจจากประเทศในภูมิภาค เช่น อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และซาอุดิอาระเบีย