นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย เปิดเผยหุ้นไทยในสัปดาห์นี้กับ Nation Online ว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่งตัวในกรอบ 1,595 - 1,630 จุด มูลค่าการซื้อขายยังเบาบาง เนื่องจากวันหยุดยาวหลายวัน และตลาดรอประเมินตัวเลข GDP และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนใน 1Q66 ซึ่งคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นไป
ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังชะลอการลงทุนรอดูผลการเลือกตั้งในเดือน พ.ค. และทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ส่วนของเม็ดเงินลงทุนจากฝั่งสถาบันคาดว่าจะเป็นการเข้ามาทยอยสะสมเมื่ออ่อนตัวมากกว่าไล่ดัชนี
โดยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามในช่วงที่เหลือสัปดาห์นี้ ได้แก่ เงินเฟ้อของไทยเดือน มี.ค., ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ รวมถึงผลการตัดสินผู้ชนะในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 5,200 MW เป็นต้น โดยรวมในเชิงกลยุทธ์ยังแนะนำเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ
สำหรับ Theme การลงทุนแนะนำ หุ้นที่มีปัจจัยบวกหนุนหรือทิศทางผลประกอบเติบโต (Quality Growth) ได้แก่ BE8 ราคาพื้นฐาน 69.08 บาท ได้ประโยชน์จากความต้องการบริการด้าน Cyber securities เพิ่มขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์โจรกรรมข้อมูลคนไทย 55 ล้านราย
นอกจากนี้ทางรัฐมนตรีกระทรวงไอซีทีนัดถกสถาบันการเงิน แก้ปัญหาโจรกรรมข้อมูลผ่าน Mobile Banking ด้วย มอง BE8 ได้ประโยชน์จากธีมดังกล่าวผ่านในเครือคือ บริษัทเบย์คอมที่เป็น 1 ใน 3 ของผู้นำด้าน Cyber Security ของไทย
หุ้นถัดมาคือ GUNKUL ราคาพื้นฐาน 4.65 บาท เก็งกำไรบนธีมการประโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 5,203 MW โดย GUNKUL ตั้งเป้าหมายที่จะได้รับ 1,000MW ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม จากกำลังการผลิตปัจจุบันของ GUNKUL ที่ 500 MWe โดยคาดประกาศผลผู้ชนะในสัปดาห์หน้า
หุ้นตัวสุดท้ายคือ KLINIQ (ราคาพื้นฐาน 48.10 บาท) ตั้งเป้ารายได้ปี 2566 ที่ 2 พันลบ. เติบโต 22% YoY ด้วยอัตรากำไรสุทธิ 13% เพิ่มขึ้นจาก 12.5% จากการเปิด 10 สาขาใหม่ในปีนี้ เพิ่มกิจกรรมการตลาด เปิดศูนย์ศัลยกรรมใหม่รองรับความต้องการลูกค้าต่างชาติ และควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับกลุ่ม Defensive ที่จะช่วยลดความผันผวน และความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนรวม แนะนำ CK ราคาพื้นฐาน 33.34 บาท มีค่า beta ไม่สูงเพียง 0.52x มี holding discount company -40% และคาดได้ประโยชน์จากการเร่งลงทุนงานภาครัฐหลังเลือกตั้งเดือน พ.ค.
หุ้นตัวถัดมาคือ ADVANC ราคาพื้นฐาน 234 บาท มีค่า beta ไม่สูงเพียง 0.62x ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศหนุนรายได้ฟื้นตัว การแข่งขันในตลาดที่ดีขึ้นหนุนอัตราการทำกำไร และคาดการซื้อกิจการ TTTBB และ JASIF จะช่วยเพิ่มมูลค่า 7.65 บาทต่อหุ้น
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย (PI) กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้กับ Nation Online ว่า วันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานดัชนีราคาด้านการบริโภคประจำเดือน ก.พ. ขยายตัวเพียง +5%YoY +0.3% MoM ต่ำกว่า Bloomberg คาดที่ +5.1%YoY
ขณะที่ Core PCE ขยายตัวเพียง +4.6%YoYและ +0.3%MoM ต่ำกว่า Bloomberg คาดที่ 4.7%YoY และ 0.4%MoM องค์ประกอบภายในพบว่าราคาสินค้าลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.6%YoYรวมถึงไปราคาสินค้าไม่คงทนก็ลดลงต่อเนื่องเช่นกัน
อย่างไรก็ตามราคาสินค้าเกี่ยวข้องกับภาคบริการยังทรงตัวและปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ภายหลังจากทราบตัวเลขข้างต้นพบว่า CME FED Watch ยังให้น้ำหนักที่ 51.6% ที่ FED จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม
ขณะที่อีก 48.4% คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ถือว่ามิได้เปลี่ยนแปลงมากนักจากก่อนหน้าแต่ US Bond Yield ทั้งอายุ 2ปี และ10 ปี ปรับลงต่อเนื่องสะท้อนว่านักลงทุนเริ่มผ่อนคลายกับภาวะเงินเฟ้อและดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ตลาดรอดูเงินเฟ้อสหรัฐฯในช่วงกลางเดือน เม.ย. หากปรับลงมากกว่าตลาดประเมินไว้จะเป็นบวกกับตลาดต่อเนื่อง
ส่วนสัปดาห์นี้ติดตาม เงินเฟ้อไทยประจำเดือน มี.ค. Bloomberg คาดไว้ที่ 3.2%YoY หากปรับลดลงมากกว่าตลาดประเมินไว้จะเป็นบวกกับค่าเงินบาท ดัชนี PMI ของสหรัฐฯและยุโรปในวันจันทร์ ขณะที่วันเดียวกันจะมีการประชุม OPEC+
ขณะเดียวกันวันอังคารที่ 4 เม.ย. ติดตามตำแหน่งงานเปิดรับสมัครในสหรัฐฯ Bloomberg คาดไว้ที่ 10.5 ล้านตำแหน่ง การจ้างงานภาคเอกชนในวันพุธ Bloomberg ประเมินไว้ที่ 2.08 แสนนตำแหน่ง
วันศุกร์ที่ 7 เม.ย. เกาะติดการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ Bloomberg ประเมินไว้ที่ 2.35 แสนตำแหน่งและอัตราการว่างงานที่ 3.6% หากรายงานแล้วแย่กว่าที่ตลาดประเมินไว้จะยิ่งเป็นบวกกับตลาดหุ้น
โดยรวมแล้วมองตลาดหุ้นยังมีปัจจัยหนุนจากภาพใหญ่ที่นักลงทุนผ่อนคลายกับเงินเฟ้อและดอกเบี้ยจึงยังเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกจะค่อย ๆ ขยับขึ้นรวมถึง SET INDEX ประเมินกรอบสัปดาห์นี้ 1,590 – 1,630 Top Pick เลือก COM7 (TP45) PTTEP (TP 175) CPALL (Tp 72)