นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ แกว่งตัวในกรอบ 1,600 จุด (บวก-ลบ) โดยประเด็นสำคัญที่กำหนดตลาดหุ้นไทย คือการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง. วันพุธที่ 29 มี.ค.นี้ ซึ่งกสิกรไทยและตลาดประเมินว่า กนง.จะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% อยู่ที่ 1.75% หลังจากนั้นคาดว่ากนง.จะคงดอกเบี้ยตลอดปี หรือ เป็นการขึ้นครั้งสุดท้ายของดอกเบี้ยขาขึ้น
โดยประเมินประเด็น กนง. จะไม่ได้มีผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยยะ เนื่องจากเป็นประเด็นที่ตลาดรู้ก่อนหน้าอยู่แล้ว ส่วนประเด็นต่างประเทศจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่าปัจจัยในประเทศปัจจัยสำคัญคือ 1. เงินเฟ้อสหรัฐ (โดยเฉพาะภาคบริการ และ housing) ว่าจะกดลงตามที่ตลาดคาดหวังหรือไม่จากกรณี tightening credit condition (เงื่อนไขสินเชื่อที่รัดกุม) ในสหรัฐฯ และเป้าหมายของอัตราดอกเบี้ย หรือTerminal rate อยู่ที่ 5-5.25%
2. การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ,ปัญหา default , กำไร บจ. จากผลของต้นทุนการเงินที่สูงขึ้นทำให้การ refinance มีต้นทุนที่สูงขึ้น และกู้ยากขึ้น ดังนี้ตลาดจึงคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยใน 2H23 จำนวน 0.75-1% เพื่อหนุนการ soft landing
โดยรวมประเมินภาพตลาดหุ้นไทยจะยังแกว่งตัวต่อในช่วงไตรมาส 265 เพื่อรอดูปัจจัยต่างประเทศดังกล่าว ส่วนปัจจัยในประเทศ หลักคาดต่างชาติจะยังรอดูผลการเลือกตั้งในประเทศ การประกาศตัวเลข GDP 1Q23 ของไทย และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งแรกของเดือน พ.ค. โดยรวมในเชิงกลยุทธยังแนะนำเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ และราคาหุ้นอยู่ในโซนล่าง
สำหรับธีมการลงทุนนั้นจะเป็นหุ้นที่ราคาพักฐานลงมาแล้ว แต่มีปัจจัยบวกหนุนหรือทิศทางผลประกอบเติบโต แนะนำ CK ราคาพื้นฐาน 33.30 บาท CPN ราคาพื้นฐาน 79 บาท และ SNNP ราคาพื้นฐาน 30.30 บาท
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย (PI) เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้กับ Nation Online ว่า วันศุกร์ที่ผ่านมานักลงทุนกังวลกับการปรับขึ้น CDS ของธนาคาร Deutsche Bank (สะท้อนถึงความกังวลผิดนัดชำระหนี้) โดยผลประกอบการ 4Q22 รายได้อยู่ที่ 6.3 พันล้านยูโร (+7%YoY) และมีการตั้งสำรองที่ 351 ล้านยูโร (+38%YoY) แต่ธนาคารยังคงมีกำไรสุทธิที่ 1.9 พันล้านยูโร (ขยายตัวเด่นมากเมื่อเทียบกับปีก่อน)
อย่างไรก็ตาม Deutsche Bank มีค่าใช้จ่ายเทียบกับรายได้ (Cost to income Ratio) ที่ค่อนข้างสูง ราว 82% เร่งขึ้นจากไตรมาส 3Q22 ที่ 71.6% แต่ลดลงจาก 4Q21 ที่ 94.3% ด้านการตั้งสำรองต่อหนี้สงสัยจะสูญอยู่ที่ 142% เร่งขึ้นจาก 3Q22 ที่ 136% และ 4Q21 ที่ 133%
ส่วนของการตั้งสำรองเทียบกับยอดปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 0.28% แม้จะเร่งขึ้นจาก 4Q21 ที่ 0.22% แต่ก็ยังถือเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นโดยสรุปดูยังไม่น่ากังวลเท่าใดกับประเด็นของ Deutsche Bank
สำหรับสัปดาห์นี้นักลงทุนจะให้น้ำหนักกับประชุม กนง. ในวันพุธ Bloomberg คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.75% อย่างไรก็ตาม แนะนักลงทุนติดตามถ้อยแถลงด้านเศรษฐกิจรวมถึงประมาณตัวเลขต่างๆ
ขณะเดียวกันจะมีการรายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศไทยประจำเดือน ก.พ. Bloomberg คาดมูลค่าส่งออกหดตัว 7%YoY นำเข้าขยายตัว 2%YoY พร้อมกับขาดดุลการค้า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากรายงานแล้วสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้จะเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้น
ส่วนต่างประเทศติดตาม 1. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจาก CB ของสหรัฐฯในวันอังคาร 2. เงินเฟ้อสหรัฐฯ (PCE) ในวันศุกร์ช่วง 19.30 ตามเวลาประเทศไทย Bloomberg คาด PCE ที่ 5.1%YoY 0.3%MoM และ Core PCE ที่ 4.7%YoY 0.4% MoM หากรายงานแล้วต่ำกว่าคาดการณ์จะเป็นบวกกับตลาดหุ้นต่อเนื่อง
โดยประเมิน SET สัปดาห์นี้กรอบ 1,570 – 1,620 จุด คาดตลาดหุ้นจะเริ่มชะลอความร้อนแรงหลังปรับขึ้นมา 5% จากจุดต่ำสุด Price In การผ่อนคลายภาคธนาคารและดอกเบี้ยของ FED ไปพอสมควร เชิงกลยุทธ์การลงทุนอาจเริ่มลดพอร์ตการลงทุนบางส่วน หุ้นแนะนำ RATCH (TP 55) CPALL (TP 72) TU (TP 23.5) AOT (TP 78)