svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"ศ.ดร.เกรียงศักดิ์" ชี้ "ติดหล่ม"ราชการไทย อุปสรรคใหญ่ การแปลงโฉมสาระประเทศ

"ดร.แดน" ชี้ ระบบราชการไทย เผชิญสภาวะ "ติดหล่ม" แม้รัฐบาลจะผลัดเปลี่ยนอำนาจไปหลายยุคสมัย แต่โครงสร้าง วิธีคิด และวัฒนธรรมของระบบราชการกลับแทบไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

6 ธันวาคม 2568 ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (ดร.แดน) นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI) ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา(IFD) กล่าวถึงระบบราชการไทย ว่า ถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนประเทศชาติให้บรรลุเป้าหมายแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยระบบดังกล่าวใช้ อำนาจอธิปไตยของรัฐ เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนกิจการต่างๆ มีข้าราชการเป็น “ข้าของแผ่นดิน” ที่คอยสนับสนุนในการสร้างประโยชน์สาธารณะ ดำเนินการด้วยความโปร่งใส คล่องตัว และตอบสนองต่อประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ  

แต่ระบบราชการไทยกลับเผชิญกับสภาวะ “ติดหล่ม” ซึ่งนับเป็นปัญหาใหญ่และเป็นอุปสรรคสำคัญในการแปลงโฉมสาระประเทศ แม้รัฐบาลจะผลัดเปลี่ยนอำนาจไปหลายยุคสมัย แต่โครงสร้าง วิธีคิด และวัฒนธรรมของระบบราชการกลับแทบไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ส่งผลให้การปฏิรูประบบราชการกลายเป็นเพียง “นโยบายบนกระดาษ” ที่ไม่สามารถขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติได้จริง และมีส่วนที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของประเทศไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นการแก้ไขและผลักดันให้เกิดการแปลงโฉมสาระระบบราชการให้เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงทั้งในปัจจุบันและอนาคต

โดยสาเหตุที่ระบบราชการไทย “ติดหล่ม”  นั้น มาจากองค์ประกอบสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ ปัญหาเรื่องบุคลากร (People): การขาดคนเก่งและคนที่มีจิตสาธารณะ ปัจจุบันระบบราชการไม่สามารถแข่งขันด้านผลตอบแทนกับภาคธุรกิจหรือภาคต่างประเทศได้ ส่งผลให้คนเก่งและคนมีคุณภาพสูงจำนวนมากไหลออกจากระบบ โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในปีงบประมาณ 2566 เผยว่า ข้าราชการใน 5 กระทรวงหลักลาออกจากระบบมากกว่า 7,000 คน ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน  ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพต้องการบุคลากรที่มี “จิตสำนึกที่ดี” หรือ “จิตสาธารณะ” เพื่อทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวม

โดยเฉพาะบุคลากรที่พึงมีคุณสมบัติ ดี เก่ง กล้า แต่ระบบการคัดเลือกข้าราชการยังคงเน้นการสอบที่วัดความรู้ความสามารถเป็นหลัก นอกจากนี้ ระบบอาวุโสและอุปถัมภ์ ที่ให้ความสำคัญกับการอยู่ยาวหรือเส้นสายมากกว่าความสามารถ ยังเป็นอุปสรรคขัดขวางการเติบโตของบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ทำให้คนดี คนเก่ง ไม่อาจทำหน้าที่ในบทบาทที่เหมาะสมและยากที่จะดึงดูดคนที่มีอุดมการณ์ มีความเสียสละเข้ามาทำงานได้มากพอ

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเชิงระบบ (System): การรวมศูนย์และเน้นระเบียบมากกว่าผลลัพธ์ โดยระบบราชการไทยยังคงเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ซับซ้อน มีการ รวมศูนย์อำนาจ การตัดสินใจไว้ที่ส่วนกลาง ทุกขั้นตอนต้องผ่านการอนุมัติหลายชั้นตามสายบังคับบัญชาที่ยาวเหยียด ทำให้กระบวนการตัดสินใจมีความล่าช้าอย่างมาก ซึ่งยังเกิดปัญหาจาก ทัศนคติที่ยึดระเบียบ ข้าราชการมัก “กลัวผิด” ตามมาตรา 157 (ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) จึงนำกฎระเบียบมาเป็นเกราะป้องกันตนเอง วัฒนธรรมที่ให้รางวัลแก่ผู้ที่ “ไม่ทำผิด” มากกว่าผู้ที่ “ทำสำเร็จ” ทำให้งานมุ่งเน้นความถูกต้องตามระเบียบ (Output/ผลผลิต) แต่ไม่เน้นผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์จริง (Outcome/ผลลัพธ์) และปัญหาเชิงบริบท (Context): การเมืองแทรกแซงและกฎหมายล้าสมัย บริบททางการเมืองมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบราชการ เมื่อนักการเมืองเข้ามาแทรกแซงมากเกินไป ข้าราชการจะปรับเปลี่ยนบทบาทเป็น “ผู้รับใช้เจ้านาย” (นักการเมือง) แทนที่จะเป็น “ผู้รับใช้ประชาชน” ผู้ที่หัวแข็งหรือกล้าขัดขืนก็จะถูกโยกย้ายหรือประสบปัญหาในการทำงาน ปัญหาการ คอร์รัปชัน และการใช้ช่องโหว่ของอำนาจในการ “ดองเรื่อง” เพื่อเรียกผลประโยชน์ ก็เป็นปัญหาที่ฝังรากลึก อีกทั้งระบบกฎหมายและระเบียบที่ล้าสมัยซึ่งมีจำนวนมาก ก็เป็นภาระใหญ่ที่ขัดขวางการทำงานในยุคปัจจุบัน

นอกจากนี้ ระบบการประเมินผลของนักการเมืองซึ่งเป็น “นาย” ของข้าราชการนั้นก็อ่อนแอที่สุด เนื่องจากประชาชนยังคงหิวโหยผลประโยชน์ส่วนตนและมักเลือกพรรคที่มีนโยบายจานด่วน ทำให้การกำกับดูแลอำนาจรัฐเป็นไปอย่างไม่เข้มแข็ง

ทั้งนี้ดร.แดน ยังวิเคราะห์ว่า ผลกระทบจากระบบราชการที่ติดหล่มต่อสังคมไทย มีผลต่อการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ระบบราชการถือเป็น กลไกหลักในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะของประเทศ หากระบบราชการไม่สามารถขยับหรือปรับตัวได้ การปฏิรูปใด ๆ ย่อมกลายเป็นเพียง “นโยบายบนกระดาษ” ที่ไม่มีผลในทางปฏิบัติจริง กล่าวได้ว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบราชการ คือจุดตายของการปฏิรูปประเทศ ในหลายมิติ เช่น ด้านการศึกษา ด้านดิจิทัลภาครัฐ แม้รัฐบาลประกาศยุทธศาสตร์รัฐบาลดิจิทัล แต่ ระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่ล้าสมัยและความซับซ้อนกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้โครงการขับเคลื่อนเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบ AI หรือ Big Data ไม่สามารถเดินหน้าอย่างเต็มที่ ทั้งที่มีศักยภาพในการลดต้นทุนรัฐอย่างมาก  

"ศ.ดร.เกรียงศักดิ์" ชี้ "ติดหล่ม"ราชการไทย อุปสรรคใหญ่ การแปลงโฉมสาระประเทศ
 
มากกว่านั้น ด้านการเมืองและความต่อเนื่องของนโยบายระบบราชการมัก “รอดูทิศทาง” ของรัฐบาลใหม่ ทำให้การผลักดันนโยบายเชิงรุกหยุดชะงักส่งผลต่อ การสูญเสียโอกาสของประเทศในเชิงยุทธศาสตร์ เป็นต้น  ส่วนผลกระทบทางสังคมและความเชื่อมั่น (Social Impact) คนรุ่นใหม่จำนวนมาก หมดศรัทธาในระบบราชการ เพราะทั้งงานหนักและยังไม่ก้าวหน้าในองค์กร  รวมทั้งยังสูญเสียบุคลากรคุณภาพ  บุคลากรที่มีความสามารถจำนวนมากเลือกย้ายไปภาคเอกชน หรือต่างประเทศ เพราะเชื่อว่าระบบราชการ ไม่เปิดพื้นที่ให้เติบโต และไม่สามารถใช้ศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่  ทำให้อาจเกิดการสูญเสียทุนมนุษย์เชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ (Human Capital Drain) อย่างเงียบๆ เป็นต้น

 
 ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เสนอแนะแนวทางการแปลงโฉมสาระระบบราชการ ว่า ต้องเปลี่ยนผ่านเชิงระบบ (systemic change) โดยผสาน คน – ระบบ – บริบท เข้าด้วยกันอย่างเป็นองค์รวม เพื่อเปลี่ยนระบบราชการจาก “ผู้ใช้กฎ” สู่ “ผู้สร้างผลลัพธ์เพื่อประชาชน” อย่างแท้จริง  โดยการปฏิรูปคน (บุคลากรและค่านิยม) ภาครัฐประเทศไทยต้องเปลี่ยนค่านิยมให้ข้าราชการตระหนักว่า ประชาชนคือเจ้านาย และตนเองเป็นเพียงผู้บริการ การคัดเลือกบุคลากรต้องเน้นผู้ที่มี จิตสาธารณะ และประวัติทำงานเพื่อสังคมควบคู่กับความเก่ง และต้องปรับระบบค่าตอบแทนและความก้าวหน้าให้สะท้อน ผลงานจริง (Performance-Based) เพื่อสร้างแรงจูงใจที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ควรใช้ การประเมินผลแบบ 360 องศา โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้รับบริการร่วมให้คะแนนการทำงานด้วย เพื่อเพิ่มความโปร่งใส

ขณะเดียวกัน การปฏิรูประบบ (โครงสร้างและกลไก) เป้าหมาย คือ การสร้างระบบราชการที่ “เล็ก จิ๋ว แต่ แจ๋ว” (Lean Government) ใช้คนมีประสิทธิสภาพให้ได้ผลลัพธ์สูงและต้องเร่งกระจายอำนาจการตัดสินใจ สู่ท้องถิ่นและหน่วยปฏิบัติการอย่างเหมาะสม เพื่อลดปัญหาความซับซ้อนและการรวมศูนย์ ควรมีการทบทวนและยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัยจำนวนมาก (Legal Guillotine) เพื่อให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ ต้องเปลี่ยนไปใช้ งบประมาณที่มุ่งผลลัพธ์ (Outcome-Based Budgeting) แทนการมุ่งวัดกิจกรรม และต้องมีการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างและงบประมาณอย่างโปร่งใสต่อสาธารณะ เพื่อป้องกันการคอร์รัปชัน นอกจากนี้ ควรศึกษาและเรียนรู้จากบทเรียนประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบราชการ เพื่อนำมาเป็นแบบอย่างในการถกเถียงและแก้ไขปัญหาของประเทศ เช่น 
- เอสโตเนีย: ใช้ “Once-Only Principle” ทำธุรกรรมออนไลน์เฉลี่ย 3 นาที 
- สิงคโปร์ที่กระจายอำนาจให้เจ้าหน้าที่ระดับกลางตัดสินใจได้ ลดความล่าช้า 
- เกาหลีใต้: ใช้ “Regulation Sandbox” ให้เจ้าหน้าที่ทดลองแนวทางใหม่โดยไม่ถูกลงโทษ เป็นต้น 

ส่วนสุดท้ายคือ การปฏิรูปบริบท (สภาพแวดล้อม) ประเทศต้องมีการสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนให้ระบบราชการทำงานได้เต็มที่ โดยการพัฒนากลไกที่ควบคุมให้นักการเมืองมีจริยธรรม และไม่เข้าแทรกแซงการบริหารงานราชการมากจนเกินไป พร้อมทั้งส่งเสริมบทบาทของภาคประชาชน พลเมืองและพลชาติให้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับ สนับสนุน และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างสร้างสรรค์  

“ระบบราชการที่ติดหล่มเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าได้ การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความกล้าหาญในการแปลงโฉมสาระ การนำ การบริหาร ทั้งบุคลากรและองค์ประกอบระบบทั้ง 7 เช่น โครงสร้าง และบริบทแวดล้อมทั้งหมด หากสามารถดำเนินการปฏิวัฒน์ทั้งคน ระบบ และบริบทได้อย่างสมบูรณ์ ระบบราชการจะกลับมามีประสิทธิสภาพ คล่องตัว และรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่จะนำประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืนต่อไป”ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ระบุ