
4 ธันวาคม 2568 เวลา 10.30 น. ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ “ทนายอั๋น บุรีรัมย์” เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้ดำเนินการเพื่อคุ้มครองความเป็นอิสระและความโปร่งใสในการพิจารณาคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมกับนำรูปภาพเส้นทางการเงินของขบวนการฮั้ว สว. ที่มีรายชื่อของสมาชิกวุฒิสภาตัวจริง 2 ราย และเครือข่ายพรรคการเมืองดัง ล้วนถูกดำเนินคดีเป็นผู้ต้องหาในคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จากทั้งหมด 8 คน มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับคนจำนวนมาก
โดยทนายอั๋น เปิดเผยว่า ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทราบความเคลื่อนไหวว่า กกต. ได้มีการส่งหนังสือจี้สอบถามอธิบดีดีเอสไอ ว่าระหว่างการทำสำนวนคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน คดีฮั้ว สว. ทางดีเอสไอได้มีการสอบสวนคนในพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ หรือได้มีการแจ้งข้อหาบุคคลใดของพรรคหรือไม่ ซึ่งตนมองว่าเป็นการแทรกแซงการทำคดีหรือไม่ เพราะอธิบดีฯ ก็ต้องมีการตอบหนังสือ ให้รายละเอียดต่างๆ อีกทั้งตนเชื่อว่าสำนวนคดีฮั้ว สว. ตามกฎหมาย กกต. (ผู้ต้องหา 229 ราย) อาจจะมีการล้มคดีภายหลังการยุบสภาได้ ตามที่เห็นเป็นข่าวได้มีพยานตัวหลักในจังหวัดขอนแก่น มากลับคำให้การกับดีเอสไอ อย่างไรก็ดีทราบว่าในอนาคตจะมีคนแถวภาคเหนือมากลับคำให้การอีกแน่นอน
ทนายอั๋น กล่าวอีกว่า ในตอน Ep.1 ตนได้เปิดเผยภาพเส้นทางการเงินของคนคนหนึ่ง ที่มีการโอนให้เจ้าหน้าที่ กกต. และทราบว่าเจ้าหน้าที่ กกต. รายนี้ได้โดนไล่ออกแล้ว และพอไปเปิดเส้นทางการเงินครั้งที่ 2 ที่ กกต. ทางดีเอสไอก็ได้มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหา 8 คน จึงหวังว่าครั้งนี้จะเกิดแรงสะเทือนวงการ ซึ่งตัวละครที่อยู่ในเส้นทางการเงินครั้งนี้ เป็นตัวละครทางสายใต้ อาทิ อักษรย่อ น. อักษรย่อ ม. โดยเฉพาะ ม. และ อ. ซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตัวจริง โดยอย่างยิ่ง อ. คือ หัวจ่าย ส่วน ม. มีเส้นเงินเยอะ ขณะที่ ล. คือ อดีตคณะทำงานของรัฐมนตรีสักตำแหน่งในกระทรวงมหาดไทย ส่วน ว. ก็มีการโอนเงินให้ผู้สมัคร ดังนั้น ตนอยากจะถามว่าจะตัดจบแค่ 8 คนนี้หรือ ในเมื่อทั้ง 8 คนนี้มีเส้นเงินโยงใยกัน และโยงไปเครือข่ายอื่นในภาคอีสานด้วย ทั้งยังโอนไป อักษรย่อ ช. บุคคลที่อยู่ในพื้นที่เหนือตอนล่างกลางตอนบน จึงเป็นไปไม่ได้ที่สำนวนจะตัดจบแค่ 8 คนนี้
ทนายอั๋น กล่าวต่อว่า สำหรับพฤติการณ์ของบุคคลในเส้นทางการเงินที่ตนนำมาเปิดเผยในวันนี้ ล้วนมีความเชื่อมโยงตั้งแต่ก่อนเลือก สว. ระหว่างเลือก สว. และภายหลังเสร็จสิ้นการเลือก สว. ยกตัวอย่าง น. มีการรับโอนทั้งหมด 165 ครั้ง โอนออกไป 480 ครั้ง ออกมากว่ารับโอน ซึ่งในการรับโอน รับไปทั้งสิ้น 1.3 ล้านบาท ส่วนจำนวนเงินโอนออกไป คือ 1.6 ล้านบาท ขณะที่อักษรย่อ ม. เป็นตัวการหลักสายใต้ ปัจจุบันเป็น สว. พบข้อมูลว่ามีการรับโอนทั้งหมด 162 ครั้ง แต่โอนออกไป 269 ครั้ง ซึ่งยอดเงินในการรับโอน รวม 17 ล้านบาท แต่โอนเงินออกไป 16 ล้านบาท
นอกจากนี้ ม. รายนี้ยังโอนเงินให้ สว.สอบตก 10 กว่าคน เพื่อเป็นค่าต่างตอบแทน และยังโอนให้ สส.พรรคการเมืองหนึ่ง มีการโอนเข้า-ออก และรับโอนจาก สส.พรรคการเมืองเช่นเดียวกัน ส่วนอักษรย่อ อ. เป็นตัวการหลักเหมือนกัน ปัจจุบันเป็น สว. และเป็นหัวจ่าย หาผู้สมัคร สว. ในสายใต้ พบข้อมูลรับโอนเงิน 169 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 4 ล้านบาท และมีการโอนเงินออกจำนวน 700 กว่าครั้ง เป็นเงิน 4 ล้านกว่าบาทเช่นกัน
ทั้งนี้ ในวันที่ดีเอสไอประกาศข่าวว่า จะออกหมายเรียกผู้ต้องหา 8 ราย ว่ากันว่า อักษรย่อ ม. และ อ. ที่เป็น สว.ตัวจริงที่อยู่ระหว่างประชุมกรรมาธิการฯ ถึงกับหน้าดำคร่ำเครียด เดินออกจากห้องประชุม แต่อีกสองวันกลับหน้าตายิ้มแย้ม อ้างบอกว่าเคลียร์ได้แล้ว ซึ่งมันก็ไปสอดรับกับวันที่มีข่าวว่า สว.เกศกมล เปลี่ยนสมัย ประกาศต่อที่ประชุม สว. และพวกพ้องสีน้ำเงินว่าเธอจะกลับมาเป็น สว.อีกครั้ง
มองว่าไม่ควรตัดจบแค่ 8 คนนี้ เพราะ 8 คนนี้ไม่เพียงโอนให้ สว.สอบตก แต่ล้วนโอนต่อไปให้อักษรย่อ ช. ซึ่งเป็นนักการเมืองดัง และยังโอนไปเครือข่ายสายอีสานด้วย จึงขอรอดูว่าดีเอสไอจะตัดจบหรือไม่ อย่างไร
ทนายอั๋น กล่าวย้ำว่า ในวันที่ 28 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา ทราบข้อมูลจากสายลับว่า มีการประชุมของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ อั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ที่ดีเอสไอและอัยการประชุมกันจริง แต่มีสายข่าวทางสีน้ำเงินว่าต้องการตัดจบที่ 8 คนเท่านั้น จะล้มคดีกัน แต่ตนต้องขอบคุณดีเอสไอและอัยการที่ไม่ยอม และดึงไว้ไม่ให้ตัดจบแค่ 8 คน เพราะจำนวนผู้เกี่ยวข้องในเส้นทางการเงินมีเยอะกว่านี้ ขอให้เกียรติประชาชนบ้าง อย่าล้มคดี เพราะมันยังมีผู้เกี่ยวข้องมากกว่านี้