svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

จี้ "อธิบดีดีเอสไอ" ดำเนินคดีกับ "พยานคดีฮั้ว สว.ที่กลับคำให้การ" ข้อหา แจ้งความเท็จ (มีคลิป)

จี้ "อธิบดีดีเอสไอ" ดำเนินคดีกับ "พยานคดีฮั้ว สว.ที่กลับคำให้การ" ข้อหา แจ้งความเท็จ ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน พร้อมแฉเส้นเงิน "กกต." รับเงิน 8.6 แสน จากคดี "ฮั้ว สว."

14 พฤศจิกายน 2568 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ "ทนายอั๋น" นายภัทรพงศ์ ศุภักษร เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ

เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับ พยานที่กลับคำให้การใน "คดีพิเศษ อั้งยี่-ฟอกเงิน-ฮั้ว สว." ปรากฏตามที่เป็นข่าว เพื่อรักษาเกียรติคุณและภาพลักษณ์ขององค์กร

โดยมี นายสมเกียรติ เพชรประดับ ผอ.ส่วนพิจารณาสำนวนร้องทุกข์ กองบริหารคดีพิเศษ เป็นตัวแทนรับเรื่อง

 

จี้ "อธิบดีดีเอสไอ" ดำเนินคดีกับ "พยานคดีฮั้ว สว.ที่กลับคำให้การ" ข้อหา แจ้งความเท็จ (มีคลิป)

 

 

 

 

ทนายอั๋น เปิดเผยว่า วันนี้ตนมาสอบถามหาอธิบดีดีเอสไอ อยากถามว่าท่านเปลี่ยนไปแล้วหรืออย่างไร เพราะนอกจากตนแล้วก็มีคนที่ตนเจอวานนี้ (13 พ.ย.) ได้ฝากถามอธิบดีฯ เช่นเดียวกัน ซึ่งกรณีที่มีพยานปากเอกอักษรย่อ อ. จังหวัดขอนแก่น ได้ให้การในคดีฮั้วเลือก สว. ในประเด็นสาระสำคัญนำสู่การที่ดีเอสไอแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งเส้นทางการเงิน กล้องวงจรปิด รวมถึงหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างอื่นจนทำให้รู้เครือข่ายการฮั้ว และขบวนการฮั้วเลือก สว. 

 

แต่ 2-3 วันมานี้ ปรากฏตามสื่อมวลชนทราบ วันที่ 29 ต.ค.68 บุคคลดังกล่าวพร้อมอีกคนได้มาให้การเพิ่มเติมทำนองว่าจะกลับคำให้การจากเดิมที่ตนเองเคยให้การไว้ในประเด็นสาระสำคัญ ตนอยากบอกดีเอสไอว่า

พฤติการณ์เหล่านี้ทำให้ดีเอสไอเสียหาย จึงขอให้ดีเอสไอดำเนินการตามกฎหมาย แจ้งความเท็จ ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เป็นต้น  จึงจะทำให้รักษาเกียรติองค์กรดีเอสไอได้ 

 

 

 

นายภัทรพงศ์ เผยอีกว่า สำหรับคดีเลือกฮั้ว สว. ตนเชื่อว่าภายในปีนี้ในส่วนของ กกต. มันจะล้ม และยกคำร้อง อีกทั้งในส่วนของดีเอสไอก็เหมือนจะล้มอยู่แล้วเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้อธิบดีฯ ก็พูดเองว่าการสอบปากคำพยาน 1,200 ราย ไม่มีประโยชน์เท่าไร ตนจึงอยากเปิดตอนแรก (Ep.1) เกี่ยวกับเส้นทางการเงิน เพราะตนนำมาจากรายการเดินบัญชี (Statement) นี่คือแผนผังเส้นทางการเงินคดีฮั้ว สว. ที่เกี่ยวข้องในจังหวัดอำนาจเจริญ 

 

โดยตนจะโฟกัสตรงที่มีเจ้าหน้าที่ กกต. รับเงินจากคนที่ถูกดำเนินคดีฮั้วเลือก สว. รวมจำนวนเงิน 860,000 บาท ซึ่งตนขอเท้าความว่าในจังหวัดอำนาจเจริญมันมีขาใหญ่อยู่ 1 คน โดยมีความเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองสีหนึ่ง และขาใหญ่คนดังกล่าว มีผู้ช่วย 2 คน เป็นมือซ้ายมือขวา

ซึ่งมือซ้ายเคยมีอาชีพขายหมู ไม่รู้ว่าเป็น สว.หรือไม่ และไม่รู้อาชีพอะไร แต่มือขวามีประวัติสั้น ๆ เพราะอาจเป็นมือขวาของขาใหญ่จังหวัดอำนาจเจริญก็ว่าได้ เป็นเสมือนบัญชีม้า คนทำบัญชีให้กับขาใหญ่ในจังหวัดอำนาจเจริญ 

 

จี้ "อธิบดีดีเอสไอ" ดำเนินคดีกับ "พยานคดีฮั้ว สว.ที่กลับคำให้การ" ข้อหา แจ้งความเท็จ (มีคลิป)

 


ปัจจุบันเป็นนักการเมืองถูกดำเนินคดีฮั้วเลือก สว.ด้วย อย่างไรก็ดี ภายหลังจากที่ กกต.ประกาศผลการเลือก สว. เล่นกันจนถึงสว่าง จากนั้นตนไปร้อง กกต. บอกว่า การเลือก สว. ต้องเป็นโมฆะ จากนั้นอีก 3 วันตนมาที่ดีเอสไอ ขอให้ดีเอสไอรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ จากนั้นถัดไป 1-2 เดือน ตนได้รับสายโทรศัพท์จากดีเอสไอแจ้งให้ตนมาให้ปากคำ จนนำสู่การนำ สว.สำรอง มาให้การและแตกขยายต่อไปจนเจอพยานต่าง ๆ 

 

ทั้งนี้ คนที่เป็นพยานอยู่ในจังหวัดขอนแก่น ก็ได้มาที่ดีเอสไอหลังตน ต่อมาดีเอสไอกับทาง กกต. ก็ได้ทำคดีฮั้วเลือก สว. ในนามของคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ได้ทำการสอบสวนไต่สวนที่จังหวัดอำนาจเจริญ ลงไปพร้อมกันหมดทั้งดีเอสไอและ กกต. 

 

แต่สอบท่าไหนไม่รู้ไปได้เสียได้เงินกลับมา 860,000 บาท ซึ่ง กกต. คนนั้น ตำแหน่งพนักงานสืบสวนและไต่สวน ประจำ กกต. โดยมีการรับเงินครั้งแรก วันที่ 7 เม.ย.67 จำนวน 60,000 บาท วันที่ 12 เม.ย.67 จำนวน 20,000 บาท ส่วนวันที่ 1 มิ.ย.67 จะเป็นเงินก้อนโต จำนวน 520,000 บาท รวม กกต.คนนี้ได้เงินจากมือซ้ายของขาใหญ่จังหวัดอำนาจเจริญ ทั้งสิ้น 860,000 บาท 

 

ตนอยากรู้ว่าไปรู้จักกันได้อย่างไร อย่างไรก็ดี ตนอยากบอกว่า กกต. ต้องทำหน้าที่ด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม จัดเลือกตั้งและสอบสวนไต่สวนก็ต้องเที่ยงธรรม ไม่ต่างจากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ท้ายสุด กกต. ด้วยกันก็ยังไปร้องสอบวินัยกันเอง เพราะกรณีของ พนักงานสืบสวนและไต่สวน ประจำ กกต.รายดังกล่าวนี้ ปรากฏว่า กกต. ยุบคำร้อง ตนก็อยากให้ความเป็นธรรม กกต. เพราะ กกต. เขาไม่มีรายการเดินบัญชี ถ้าขอมาก็คงเจอกันทั้งหมด เพราะ กกต. ก็คงไม่อยากเห็นภาพแบบนั้นแน่นอน วันข้างหน้าตนจะตั้งคำถามถึง กกต. โดยการเอามือซ้ายของขาใหญ่จังหวัดอำนาจเจริญ โยงไปหาพรรคการเมือง หาคน น.หนู คดีนี้มันคงไม่มีอะไรมลายหายไป ตนมีหลักฐานทุกอย่าง พร้อมถามว่าที่ดีเอสไอมีหนูหรือไม่ ถ้ามี ตนรับกำจัดหนู เพราะมีหนูไม่มีอั๋น

 

 

สำหรับแรงจูงใจของพยานจังหวัดขอนแก่นที่กลับคำให้การในคดีฮั้วเลือก สว. นั้น ตนทราบว่าตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากทางคดีส่วนตัว และอยู่ในสถานการณ์ที่กลับคำแล้วเราอาจรอดกันหมด เขาก็รอดด้วย แต่ถ้าเขาเดินหน้าแล้วศาลไม่ให้เขารอด เขาอาจมองการกลับคำให้การ ตรงนี้เป็นวิธีที่ดีกว่าหรือไม่ ซึ่งการกลับคำให้การครั้งนี้ ดีเอสไอควรพิจารณาดำเนินคดี เพราะตนเรียกร้องให้ดีเอสไอต้องทำ เพราะเจ้าหน้าที่ ที่ทำเรื่องเส้นทางการเงินทำงานถึงตีสองตีสาม น่าสงสารมาก ผู้บังคับบัญชาไม่ควรห่วงแต่ตัวเอง

 

 

นายภัทรพงศ์ ยังเผยด้วยว่า ตนพูดเสมอว่าการมาของรัฐบาลชุดนี้จะมาแบบไม่เสียเปล่า เพราะเขาไม่ชะลอคดีฮั้วเลือก สว. และคดีสืบสวนเขากระโดง มีแต่จะล้มคดี การมาของเขามันต้องไม่เสียของ ตนรู้ แต่ก็พร้อมสู้ และตนทราบว่าพยานจังหวัดขอนแก่นรายนี้ ตอนมาให้การดีเอสไอ ไม่ได้มาคนเดียว แต่มากับทนายความ และยังมีอัยการมาร่วมประกบการสอบสวน ส่วนดีเอสไอที่สอบสวนก็มีหลายคน มี กกต.ด้วย จึงสงสัยว่าที่อ้างว่าถูกข่มขู่ ล่อลวงให้การเช่นนั้น แต่คุณก็ไม่ได้ถูกควบคุมตัว หรือถูกหมายศาลใด ๆ คุณเดินทางมาประสงค์จะให้การเป็นพยานและขอกันเป็นพยาน ตนมองว่าอ้างแบบนั้นไม่ได้ จึงคงอยู่ที่ดีเอสไอว่าจะทำอย่างไร เพราะคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรีบตรวจสอบแล้วไปแจ้งความเท็จ เพราะเขาให้การต่อเจ้าพนักงานที่เป็นการให้การเท็จ

 

ทั้งนี้สำนวนคดีฮั้ว สว.ตามกฎหมายการเลือกตั้งว่า สำนวนคดีนี้มันล้มมาตั้งแต่ชั้นของนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เพราะในชั้นของนายแสวง เรียกว่าการทำสำนวนปะหน้าเพื่อเสนอ กกต. แต่ในชั้นของนายแสวง เรียกว่าฉลาดมาก เพราะมีการแบ่งสำนวนเกือบ 80,000 หน้า แบ่งออกให้คน 4 ชุด และแต่ละชุดก็เสนอความเห็นไม่ตรงกัน

จึงทำให้ไม่เป็นเอกเทศ จึงทำให้นายแสวง อาจสรุปความเห็นสำนวนว่าเป็นอย่างไรบ้าง มันส่อล้มมาตั้งแต่ชั้นนี้แล้วและพอไปชั้นคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง คณะที่ 36 ก็อาจทำแบบนั้น เอาความเห็นที่ไม่เป็นเอกเทศมาเสนอต่อคณะกรรมการการ กกต.ชุดใหญ่

สรุปว่าอีกฝั่งมองยกคำร้อง ขณะที่อีกฝั่งบอกให้ส่งศาลฎีกาฯ มันก็ง่ายที่ท้ายสุด กกต.ชุดใหญ่จะยกคำร้องเรื่องนี้ 

 

จี้ "อธิบดีดีเอสไอ" ดำเนินคดีกับ "พยานคดีฮั้ว สว.ที่กลับคำให้การ" ข้อหา แจ้งความเท็จ (มีคลิป)

 

 


นายภัทรพงศ์ ระบุอีกว่า ตนจะเดินสายแฉเส้นเงิน และขอวัดใจ สส.พรรคเพื่อไทย และพรรคฝ่ายค้าน ต้องร่วมใจกันติดตามเรื่องนี้ ส่วนกรณีที่ตอนนี้พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ยังไม่มีท่าทีจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล แม้คดีสำคัญในความสนใจของประชาชนจะถูกค้างไว้นั้น

เรื่องนี้ตนมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนเก่าที่รู้เรื่องพรรคประชาชน ตนอยากบอกพรรคประชาชนที่เสี่ยงมาตลอด ไปขอดูไพ่ใบสุดท้ายของพรรคน้ำเงิน เพียงแค่อยากโชว์หล่อ ไม่ใช่การพูดแล้วทำ มันไม่มีแล้ว สสร. ที่คุณต้องการ วันนี้ตนคงขอเรียกร้องให้พรรคประชาชนตื่นได้แล้ว

 

 

 

ดูคลิป