
12 พฤศจิกายน 2568 ที่อาคารรัฐสภา น.ส.ภัสริน รามวงศ์ โฆษกคณะ กมธ.กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ รับยื่นหนังสือจาก น.ส.วรรณิดา นพสิทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน และคณะ ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีสื่อญี่ปุ่นเสนอข่าว เด็กไทยอายุ 12 ถูกขายให้ร้านนวดญี่ปุ่น
น.ส.วรรณิดา กล่าวว่า กรณีสื่อญี่ปุ่น รายงานข่าวการจับกุมร้านนวดในประเทศญี่ปุ่น และพาดหัวข่าวว่าเด็กไทยอายุ 12 ปี ถูกขายให้ร้านนวดในญี่ปุ่น ตนมีความกังวลและรู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง เมื่อมีการระบุชัดว่า เด็กมาจากประเทศไทย เพราะภาพที่ออกไปสู่สายตานานาชาติ นำมาซึ่งคำถามสำคัญว่าประเทศไทย เป็นต้นทางของขบวนการค้ามนุษย์หรือไม่ ซึ่งคำตอบในวันนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องกระบวนการค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ส่งผลกระทบไปถึงภาพลักษณ์ ความเสียหายของประเทศไทยด้วย
ขณะเดียวกัน วันนี้ทั้งโลกกำลังเฝ้าจับตาอาชญากรรมข้ามชาติในหลายมิติ ทั้งสหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ ต่างเร่งดำเนินการจัดการกับขบวนการสแกมเมอร์ และอาชญากรรมไซเบอร์อย่างจริงจัง และเห็นว่าปัญหาเหล่านี้เป็นภัยความมั่นคงของชาติ วันนี้ประเทศไทยควรเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือ ในการจัดการอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเป็นรูปธรรม ตรวจสอบความจริงในกระบวนการค้ามนุษย์ ที่เชื่อมโยงกับกระบวนการหลอกลวงเด็ก เยาวชน ผู้หญิง และ กลุ่มเปราะบางที่ถูกล่อลวงด้วยเรื่องงาน รายได้ และโอกาส ก่อนถูกผลักเข้าไปอยู่ในขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งไม่ใช่อาชญากรรมรายบุคคล แต่คือโครงข่ายธุรกิจมืดที่เชื่อมโยงทั้งเรื่องค้ามนุษย์ สแกมเมอร์ ธุรกิจสีเทา และการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน
ดังนั้น ตนจึงยื่นหนังสือต่อ คณะ กมธ.กิจการเด็กฯ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้อย่างเข้มงวด และติดตามการคุ้มครอง ฟื้นฟูเหยื่อให้เป็นรูปธรรม ตรวจสอบช่องโหว่และเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในประเทศ และขอย้ำว่า กรณีนี้ไม่ใช่แค่เพียงเด็กคนหนึ่งถูกส่งไปขาย แต่เขาคือมนุษย์คนหนึ่ง คือเด็กไทยคนหนึ่งที่ถูกทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเสียหายครั้งนี้ เป็นภาพที่ถูกส่งออกไปพร้อมกับชื่อเสียงของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม วันนี้เรามีทั้งข่าวเด็กไทยถูกขาย ข่าวธุรกิจสีเทาคลุมประเทศ แต่สิ่งที่เราได้ยินจากรัฐบาล ยังมีเพียงคำปฏิเสธ ตนจึงขอตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่า รัฐบาลกล้ายืนยันต่อนานาประเทศหรือไม่ว่า ประเทศไทยไม่มีโครงข่ายธุรกิจสีเทา การค้ามนุษย์ และไม่มีผู้มีอำนาจหรือเจ้าหน้าที่รัฐคนใดเข้าไปเกี่ยวข้องหรือสนับสนุน ไม่ใช่ปล่อยให้ข้อกล่าวหาเหล่านี้ลอยอยู่เหนือศรัทธาของประชาชน และชื่อเสียงประเทศ
ด้าน น.ส.ภัสริน กล่าวภายหลังรับยื่นหนังสือว่า ตนมีความกังวลอย่างยิ่ง ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งกรณีคลิป "Glory hole" ที่อ้างถึงเด็กชายอายุเพียง 9 ปี และกรณีเด็กหญิงไทยอายุ 12 ปี ที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีในประเทศญี่ปุ่น สองเหตุการณ์นี้สะท้อนช่องโหว่ ของระบบคุ้มครองเด็กในประเทศไทยอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นภาคีใน อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) และ พิธีสารเลือกรับว่าด้วยการขายเด็ก การค้าประเวณีเด็ก และสื่อลามกเด็ก (OPSC) ซึ่งกำหนดอย่างชัดเจนว่า รัฐภาคีต้องป้องกันและลงโทษการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ จากเด็กในทุกรูปแบบ รวมถึงต้องจัดให้มีระบบช่วยเหลือ ฟื้นฟู และคุ้มครองเด็กที่ตกเป็นเหยื่อโดยไม่เลือกปฏิบัติ
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีพันธกรณีตามพิธีสารว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งบังคับให้รัฐต้องสืบสวน และดำเนินคดีต่อขบวนการค้ามนุษย์ โดยไม่ละเว้นผู้มีอำนาจหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ในทางปฏิบัติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับสะท้อนว่ากลไกเหล่านี้ยังทำงานอย่างไม่ทั่วถึง ทั้งในระดับการป้องกัน การสืบสวน และการบังคับใช้กฎหมาย ความเงียบของหน่วยงานรัฐและการขาดความชัดเจนในการตรวจสอบ
ทำให้ประชาชนตั้งคำถามต่อความจริงจังของ รัฐบาลในการปกป้องเด็กจากขบวนการแสวงหาประโยชน์ระบบ child safeguarding ของประเทศต้องทำงานเชิงรุก มากกว่ารอแก้ไขปัญหา ซึ่งเมื่อมีเด็กตกเป็นเหยื่อแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการข้อมูลระหว่างตำรวจไซเบอร์ ตำรวจท่องเที่ยว กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อสืบหาต้นตอของเครือข่าย ทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน
ดังนั้นคณะ กมธ.จะตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีโดยละเอียด รวมถึงติดตามการคุ้มครองและการฟื้นฟูเหยื่อ ให้เป็นไปตามหลักการในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และให้รัฐบาลรายงานความคืบหน้าอย่างโปร่งใสต่อสาธารณะ