
8 พฤศจิกายน 2568 กลายเป็นวาระแห่งชาติไปแล้ว กรณีเด็กหญิงชาวไทยวัย 12 ปี ที่เดินทางเข้าญี่ปุ่นครั้งแรกด้วยวีซานักท่องเที่ยว 15 วัน เมื่อเดือนมิถุนายน ถูกแม่พาไปที่ร้านนวดชื่อ "Relax Time" ซึ่งเป็นห้องเช่าในอาคารในเขตบุงเคียว ใกล้กับย่านอุเอโนะของกรุงโตเกียว และเด็กหญิงถูกสอนวิธีการนวดและให้บริการทางเพศทันทีที่ไปถึง เด็กหญิงไม่เต็มใจแต่ถูกแม่บังคับ ก่อนที่แม่จะทิ้งเธอไว้ลำพัง และถูกบังคับให้ทำงาน นอนพื้นในห้องครัว และได้รับเงินเพียงเล็กน้อยเป็นค่าอาหาร และต้องบริการให้ลูกค้า 60 คน ในเวลา 33 วัน ก่อนจะไปแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นด้วยตัวเอง เมื่อเดือนกันยายน กลายเป็นคดีที่ช็อกคนญี่ปุ่น เพราะเธอเป็นเหยื่ออายุน้อยที่สุดในคดีการค้ามนุษย์ชาวต่างชาติในญี่ปุ่น
แม้ตำรวจจะจับกุม "มาซายูกิ โฮโซโนะ" ผู้จัดการร้าน วัย 51 ปี เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 กับหญิงชาวไทยวัย 30 ปี อีกคนหนึ่ง ที่ค้าบริการที่ร้านนวดแห่งนี้ด้วยเช่นกัน แต่ ส.ส.โยชิโกะ คิระ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่น ได้โพสต์บน X ว่า "เป็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายเกินไป" และตั้งคำถามว่า "เหตุใดในญี่ปุ่นยุคนี้ ยังเกิดการค้ามนุษย์และละเมิดสิทธิมนุษยชนแบบนี้ได้"
เธอบอกด้วยว่า ญี่ปุ่นเคยให้สัตยาบัน "อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ว่าด้วยการขายเด็ก การค้าประเวณีเด็ก และสื่อลามกเด็ก" ตั้งแต่ปี 2548 แล้ว และย้ำว่า จำเป็นต้องมีการ ตรวจสอบสถานการณ์ในประเทศให้ละเอียด และปรับปรุงกฎหมาย พร้อมประกาศจุดยืนว่า "การเมืองที่ต้องไม่ยอมให้การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กและการค้ามนุษย์เกิดขึ้นอีก"
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพยายามจัดการกับปัญหาชาวต่างชาติในด้านต่างๆ อย่างจริงจัง ตั้งแต่นักท่องเที่ยวล้นเมือง และคนต่างชาติอยู่ในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มกระทบชีวิตคนญี่ปุ่นมากขึ้นทุกวัน ทำให้ต่อไปชาวต่างชาติอาจเดินทางไปญี่ปุ่น ไม่ "ง่าย" เหมือนเมื่อก่อน
โดยนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นซานาเอะ ทากาอิจิ ได้ให้ความสำคัญอย่างจริงจังต่อเรื่องนี้ ในระหว่างการประชุม ครม.ล่าสุด โดยมีการออกนโยบายเป็นมาตรการดังนี้
ระบบคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง (J-ESTA)
-ก่อนจะเดินทางเข้าญี่ปุ่น ต้องลงทะเบียนข้อมูลออนไลน์ เหมือน ESTA ของสหรัฐฯ และสืบประวัติย้อนหลังด้วยว่า เคยต้องคดีหรือไม่ , เคยถูกปฏิเสธเข้าประเทศมาก่อนหรือไม่ และจุดประสงค์การเข้าญี่ปุ่นชัดเจนหรือไม่ โดยถ้าไม่ผ่าน ก็ห้ามขึ้นเครื่องตั้งแต่ต้นทาง เพื่อป้องกันปัญหา "เข้าไปถึงก็ก่อเรื่องทันที" และนับเป็นการปรับเปลี่ยนจาก "คัดกรองที่สนามบิน" เป็น "คัดครองต้้งแต่ก่อน ยังไม่ได้ขึ้นเครื่องบิน”
-เรื่องนี้ยังนำไปสู่การแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง (Over-tourism) ที่รบกวนการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่น เช่น บุกพื้นที่ห้ามเข้าเพื่อถ่ายรูป , ข้ามรั้วทางรถไฟเพื่อถ่ายชินคันเซ็น , ลักขโมยของในร้าน , ทำเสียงดังหรือทิ้งขยะในย่านที่พักอาศัย ซึ่งก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นทำเพียงเตือนเพราะต้องการรายได้จากการท่องเที่ยว แต่นับจากนี้ไป การกระทำเหล่านี้ ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย สามารถจับและปรับทันที ทั้งยังจะเพิ่มป้ายหลายภาษาและตำรวจท่องเที่ยว เลิก "เกรงใจ" และหันมาใช้ "กฎหมาย" จัดการแทน
คาดว่า อาจมีบางประเทศที่ถูกหมายหัวไว้แล้ว ที่จะไม่ได้เข้าประเทศญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป รวมทั้ง ประเทศไทยที่มีปัญหา "ผีน้อย" และล่าสุด จากคดีแม่พาลูกไปขาย