
3 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่คณะกรรมการคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. พร้อมด้วย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โดยมีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ ปปง. และนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. ให้การต้อนรับ
นายฉัตรชัย กล่าวรายงานว่า สำนักงาน ปปง. มีการจัดการกับบัญชีม้าไปแล้วกว่า 800,000 บัญชี และมีเงินคงค้างในระบบ 3,000 กว่าล้านบาท ขณะเดียวกันยังรายงานอุปสรรคปัญหาว่า การทำงานของ ปปง.ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของไทยที่มีกฎหมายเฉพาะอยู่ 2 ฉบับ เป็นมาตรฐานกฎหมายไทย ที่ต้องปฏิบัติตามสากล แต่ยังมีอุปสรรค ขณะเดียวกันอีกหนึ่งปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการไม่เท่าทันมิจฉาชีพ ควรจะต้องมี ระบบ AI หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามา เพราะ ปปง. จะต้องมีฐานข้อมูลรองรับ
จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายโดยระบุว่า ขอบคุณที่ได้เชิญให้ตนมาเยี่ยมสถานที่แห่งนี้เพราะ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ได้มีโอกาสพบกับทาง ประธาน และ เลขาฯ ปปง. อยู่ 2-3 ครั้ง ได้ถามถึงภารกิจต่างๆ พร้อมระบุว่าความเข้าใจตอนแรก ตนเข้าใจว่าหน่วยงานนี้สังกัดกระทรวงยุติธรรม จึงไม่ได้ติดต่อ ไม่ได้สั่งการใดๆ โดยตรง หลังจากเข้ามาสังคายนาระบบภายในทำเนียบรัฐบาลก็ทราบว่า ปปง.เป็นหน่วยงานที่ ขึ้นตรงกับทางนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม หน่วยงาน ปปง. มีความสำคัญมากอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้ภารกิจงานของ ปปง.ได้รับ ความสนใจ ของประชาชนและสังคมมากเป็นพิเศษ เนื่องจากในช่วงนี้ไม่มีอะไรดังไปกว่าสแกมเมอร์ อาชญากรรมทางการเงินทางเทคโนโลยี ซึ่งในธุรกรรมต่างๆของมิจฉาชีพ ธุรกิจประเภทนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้กับภารกิจงานของ ปปง. ที่ต้อง ฟอกเงินให้สะอาด เพราะเงินไม่ใช่เทาแต่ดำ ฟอกอย่างไรก็ไม่สะอาด
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า ตนในฐานะที่กำกับดูแล สำนักงาน ปปง. ต้องยอมรับว่ามีความกดดันจากประชาชนและสังคม ตลอดจนประชาคมนานาชาติ ในเรื่องของการดำเนินการปัญหาอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสแกมเมอร์ ซึ่งถ้าเราดำเนินการ ไม่เด็ดขาดเต็มที่ ไม่ใช่เฉพาะว่าเราจะถูกตราหน้าว่าเราไม่มีผลงาน แต่สิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นก็คือ ถูกคว่ำบาตรและถูกกีดกันและกดดันสิ่งต่างๆนานาชาติ นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก