
2 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมาชื่อของ "เบน สมิธ" หรือ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ไม่ใช่ในฐานะนักธุรกิจธรรมดา แต่ในฐานะบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็น "ตัวกลาง" เชื่อมโยงบุคคลระดับสูงทางการเมืองในภูมิภาคอย่าง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ สมเด็จฯ ฮุน เซน ผู้นำสูงสุดแห่งกัมพูชา และยังถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และกลุ่มทุนจีนสีเทา จนกลายเป็นประเด็นที่สังคมไทยและสื่อต่างประเทศให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง
ข้อกล่าวหาที่สั่นสะเทือนวงการการเมืองและธุรกิจ
ข้อกล่าวหาต่อเบน สมิธ ถูกหยิบยกขึ้นในรัฐสภาไทยโดย นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคประชาชน ซึ่งระบุว่า มีหลักฐานเชื่อมโยงเขาเข้ากับขบวนการฟอกเงินและกลุ่มทุนสีเทาในประเทศเพื่อนบ้าน รายงานของสื่อต่างประเทศหลายแห่งยังขยายผลต่อ จนส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชื่อเสียงและธุรกิจของเขา
ข้อกล่าวหาหลักสามารถสรุป
-ตัวกลางเชื่อมโยงอำนาจ: ถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทสำคัญในการประสานงานระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย และสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีรายงานอ้างถึงเหตุการณ์ เช่น การจัดหาเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว Bombardier Global G7500, การจัดการประชุมระหว่างนายทักษิณกับผู้บริหารของ MGM Resorts International เพื่อหารือเรื่องกาสิโนถูกกฎหมายในไทย และการอำนวยความสะดวกในการพบปะระหว่างนายทักษิณกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม บนเรือซูเปอร์ยอชต์ "Wanderlust" ซึ่งบริหารโดยบริษัทของเขา
-เครือข่ายอาชญากรรม: มีการกล่าวหาว่าพัวพันกับเครือข่ายสแกมเมอร์ (แก๊งคอลเซนเตอร์) กลุ่มทุนจีนสีเทา การค้ามนุษย์ และขบวนการฟอกเงินในประเทศกัมพูชา
-ธุรกรรมต้องสงสัย: ถูกเชื่อมโยงกับธนาคาร BIC ซึ่งถูกระบุว่าเป็น "สวรรค์ของการฟอกเงิน" และกรณีการเสนอขายหุ้นของบริษัท Tiantian Ventures ที่ถูกสำนักงาน ก.ล.ต. ของไทยตรวจสอบ
-ประวัติในต่างแดน: ถูกอ้างถึงคดีฉ้อโกงหุ้นที่ประเทศนิวซีแลนด์ และมีรายงานว่ากำลังถูกจับตาโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความกังวลเรื่องการขยายอิทธิพลของจีนผ่านเครือข่ายทางการเงินของเขา
คำชี้แจงและการโต้กลับของ "เบน สมิธ"
ต่อมา "เบน สมิธ" ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง โดยระบุว่า
"ตน ครอบครัว และธุรกิจ ตกเป็น “เหยื่อของกระบวนการใส่ร้ายป้ายสี” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อทำลายชื่อเสียงอย่างเป็นระบบ"
โดย "เบน สมิธ" ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยืนยันว่าไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน การค้ามนุษย์ หรือขบวนการสแกมเมอร์ พร้อมชี้ว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดขาดหลักฐานทางกฎหมายรองรับ
ระบุอีกว่าเบื้องหลังการโจมตีตัวเค้า มาจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จส่วนใหญ่มีที่มาจากนักข่าวต่างประเทศชื่อ ทอม ไรท์ (Tom Wright) ผ่านสื่อ Project Brazen และ Whale Hunting โดยมีการเผยแพร่ข้อมูลโจมตีกว่า 130 ครั้งภายในระยะเวลาอันสั้น
ยืนยันว่าคดีในนิวซีแลนด์ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าไม่เป็นคดีอาญา อีกทั้งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท Tiantian Ventures หรือบุคคลที่อ้างว่าเป็นตน
ระบุว่าได้เริ่มกระบวนการฟ้องร้องนายทอม ไรท์ และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล พร้อมเรียกร้องให้องค์กรสื่อระหว่างประเทศอย่าง ICIJ และ OCCRP ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นธรรม
ขณะเดียวกัน ก็มีข้อมูลจากหน่วยงานราชการของไทยที่เปิดเผยออกมาในภายหลัง เข้ามาช่วยยืนยันบางประเด็นที่สอดคล้องกับการแถลงของ นาย เบน สมิธ ด้วย
ปม CEO บริษัทฉ้อโกงคือการเข้าใจผิดครั้งใหญ่
หนึ่งในข้อกล่าวหาที่ถูกใช้ในการโจมตีเบน สมิธ คือการเชื่อมโยงเขากับบริษัท Tian Tian Ventures ที่ฉ้อโกงประชาชน แต่จากการสอบสวนของตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) ของไทย ได้ข้อสรุปว่า บุคคลที่ขึ้นเวทีอ้างตัวเป็น CEO ของ Tian Tian Ventures โดยใช้ชื่อว่า "เบนจามิน เบอร์เจอร์" (Benjamin Berger) แท้จริงแล้วคือ นายลอว์เรนซ์ อีวาน เฟลด์แมน (Mr.Lawrence Evan Feldman) สัญชาติอเมริกัน ซึ่งใช้ชื่อปลอมที่คล้ายกันเท่านั้น และพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับนายลอว์เรนซ์ไปแล้ว
ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการกล่าวอ้างเรื่องตัวตนที่ผิดพลาดนี้คือรากฐานของข้อกล่าวหาที่นายรังสิมันต์ โรม นำไปอภิปรายในสภาฯ
ปปง. ไทย ยืนยันไม่เคยมีคดีฟอกเงิน
แม้ภาพลักษณ์ของเบน สมิธ จะถูกผูกโยงกับข้อกล่าวหาเรื่องการฟอกเงิน แต่หลายหน่วยงานของไทยที่รับผิดชอบโดยตรงกลับไม่พบข้อมูลดังกล่าว หนังสือตอบกลับของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่ส่งถึงผู้รับมอบอำนาจของเขา ระบุว่า จากการตรวจสอบฐานข้อมูล "ไม่ปรากฏข้อมูลว่ามีการดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานฟอกเงิน หรือว่ามีการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของนายเบน สมิธ"
แม้หลายหน่วยงานจะให้ข้อมูลสอดคล้องกับคำชี้แจงของเบน สมิธ แต่ภาพลักษณ์ของเขายังคงถูกเชื่อมโยงกับประเด็นการเมืองและผลประโยชน์ขนาดใหญ่ในภูมิภาค จนทำให้ชื่อของเขากลายเป็นจุดตัดระหว่างอำนาจทางการเมือง การเงิน และสื่อ
กรณีนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า เรื่องราวของเบน สมิธ อาจไม่ใช่เพียงข้อกล่าวหาอาชญากรรมทั่วไป หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” (Information Warfare) ที่ซับซ้อนในยุคดิจิทัล ซึ่งข้อมูลจากแต่ละฝ่ายมีความขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง ระหว่างภาพของ “อาชญากรข้ามชาติ” กับ “นักธุรกิจผู้ถูกใส่ร้าย”
ท้ายที่สุด ความจริงทั้งหมดอาจต้องรอการพิสูจน์ผ่านกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้สังคมได้คำตอบว่า เบน สมิธ คือผู้กระทำผิด หรือเป็นเพียงเหยื่อของการโจมตีทางข้อมูลในโลกยุคใหม่กันแน่
ที่มา : posttoday
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : เฉลยแล้ว ตำรวจยืนยัน "เบน สมิธ" ไม่ใช่ CEO บริษัทเทียน เทียน ที่แท้เป็นอีกคนถูกออกหมายจับ เผยผลการตรวจสอบของตำรวจ ปอศ.