svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

สภาถก "กม.นิรโทษกรรม" เพิ่มบทลงโทษ "รอลงอาญา" โจ๋อายุต่ำกว่า 18 ปี

สภาเดินหน้าถก "กฎหมายนิรโทษกรรม" วาระ 2-3 เพิ่มบทลงโทษ "รอลงอาญา" โจ๋ต่ำกว่า 18 ปี ส่งต่อ กก.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พิจารณาส่งเรื่องให้หน่วยงาน

21 ตุลาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายไชยา พรหมมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นประธานในที่ประชุม ในวาระพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติเสริมสร้างสังคมสันติสุข ที่กรรมาธิการพิจารณาเสร็จสิ้น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมาธิการ ได้แถลงรายงานต่อที่ประชุมสภา สาระสำคัญช่วงหนึ่งระบุว่า ด้วยสถานการณ์ทางการเมือง ในการทำงานของกรรมาธิการ จำเป็นต้องแข่งขันกับเวลา นำร่างกลับคืนสู่สภาเร็ว วางกรอบทำงาน 2 เดือน มีการแก้ไขเนื้อหาสาระหลายมาตรา 



โดยในประเด็นการนิรโทษกรรม ที่มีเหตุจูงใจทางการเมือง กรรมาธิการรับฟังความเห็นและข้อเสนอจากทุกฝ่าย และกำหนดฐานความผิดอย่างครอบคลุม บางประเด็นมีการปรับแก้ เช่น กรณีมีการนิรโทษกรรมคดีความผิดทางอาญา มีข้อเสนอเพิ่มความผิดทางพินัย เพื่อให้ครอบคลุมชัดเจนมากขึ้น กรณีความผิดทางแพ่ง 3 ร่างหลัง ที่สภารับหลักการกำหนดให้ยุติบังคับคดีในทางแพ่ง กับกลุ่มผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกดำเนินคดี ให้คืนเงินทรัพย์สินที่ถูกอายัดหรือยึดไป จากผลแห่งคำพิพากษาในคดีแพ่ง กรรมาธิการมีข้อสรุปร่วมกันว่า การยุติบังคับคดีแพ่งเป็นที่เห็นชอบร่วมกัน แต่การคืนเงินที่ถูกอายัด เป็นเรื่องที่เห็นตรงกันว่า ตัดประเด็นนี้ออก  

สภาถก "กม.นิรโทษกรรม" เพิ่มบทลงโทษ "รอลงอาญา" โจ๋อายุต่ำกว่า 18 ปี

ทั้งนี้ ได้วินิจฉัยว่า กลุ่มบุคคลใดบ้างจะเข้าข่ายการนิรโทษกรรมตามกฏหมาย มีการปรับโครงสร้างคณะกรรมการสร้างเสริมสังคมสันติสุข ให้มีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน , รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมและปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นกรรมการ , ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ

นอกจากนี้ มีองค์ประกอบมาจากภาคประชาชน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มาจากวิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน ตัวแทนอธิการบดี จากการเสนอชื่อประธานสภาผู้แทนราษฎร อำนาจหน้าที่ครอบคลุมหลายด้าน การวินิจฉัยชี้ขาด การสื่อสารกับสังคม การรับเรื่องร้องทุกข์อุทธรณ์ ผู้ที่ตกหล่นในการพิจารณา กำหนดให้คณะกรรมการชุดนี้ ประชุมนัดแรกภายใน 30 วัน หลังจากที่กฎหมายบังคับใช้ เรื่องที่ทำอยู่หมายถึง การพยายามลบบาดแผลความขัดแย้ง ที่ต่อเนื่องยาวนานมาร่วมสองทศวรรษ หากกฎหมายบังคับใช้ ก็ไม่ควรเนิ่นนานหรือช้า ที่จะให้คณะกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ปฎิบัติหน้าที่โดยทันที 

นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี กระทำการขัดต่อกฎหมาย อาจมาจากมูลเหตุความขัดแย้งทางการเมือง หรือแรงจูงใจทางการเมือง ได้กำหนดไว้ในมาตรา 6 ของกฎหมายนี้ และเพิ่ม 9/1 ระบุว่า กรณีที่เยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี กระทำความผิด มีสิทธิ์จะเสนอเรื่องส่งคณะกรรมการสร้างเสริมสังคมสันติสุข ไม่ได้เติมอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ไปแทรกแซงตุลาการ แต่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาเด็กและเยาวชน
 

“เพื่อขอเข้ากระบวนการรอการกำหนดโทษ หากคณะกรรมการเห็นชอบ ส่งเรื่องไปเจ้าพนักงานอัยการ หากเรื่องอยู่ในชั้นอัยการ ก็พิจารณาได้เลย หากเรื่องอยู่ในชั้นศาล อัยการจะส่งเรื่องให้ศาล เพื่อพิจารณาเป็นรายกรณีต่อไป” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีฐานความผิด ในบัญชีแนบท้ายของร่างกฎหมายนี้ เดิมกำหนดไว้ 12 ฐานความผิด กรรมาธิการหารือและแสวงหาข้อมูลอย่างรอบด้าน ขยายเพิ่มฐานความผิด ที่ได้รับการนิรโทษกรรมอีกหลายฐานความผิด ไม่ได้ลอยมาเอง ไม่ได้เกิดจากความคิดเห็นของกรรมาธิการคนใดคนหนึ่ง ส่วนหนึ่งมาจากรายงานของคณะกรรมาธิการศึกษาการออกกฏหมายนิรโทษกรรม ซึ่งสภานี้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญเอาไว้ก่อน และมาจากการประสานงานกับภาคประชาชน ที่ต่อสู้เคลื่อนไหว ทั้งทนายสิทธิมนุษยชน กลุ่มไอลอว์ และรับฟังตัวแทนกลุ่มการเมือง ผู้ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับบทบาททางการเมือง 

ในบัญชีแนบท้ายย้ำว่า พยายามอย่างครอบคลุมและกว้างขวางที่สุด และแน่ใจว่า ภายใต้การพิจารณาของกรรมการ จะหยิบยื่นโอกาส ความพยายามเยียวยาบาดแผลความขัดแย้งนี้ ไปถึงผู้คนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทุกค่ายทุกสี และกรณีกรณีที่มีกลุ่มขัดแย้ง หรือกลุ่มที่ต่อสู้การเมืองบางกลุ่ม เดินเลยสถานการณ์ไปก่อน และคดีเดินเร็วถูกพิพากษาจำคุก คดีถึงที่สุดแล้วเป็นจำนวนมาก เช่น คดีกลุ่มคนเสื้อแดง กรรมาธิการเห็นชอบให้เพิ่มบทบัญญัติ ในการลบล้างประวัติอาชญากรรม สำหรับผู้ต้องขังความจากความเคลื่อนไหวทางการเมืองในนิยามของกฎหมายนี้
 

“ล้างให้ในทุกขั้นตอนในทุกหน่วยงาน เป็นผู้มิได้เคยกระทำความผิดนี้ เคยถูกดำเนินคดี และไม่เคยต้องโทษจากความเคลื่อนไหวในความขัดแย้งทางการเมืองทั้งสิ้น เรื่องนี้ใครไม่เจอก็ไม่เข้าใจ เพราะมันส่งผลกระทบใหญ่หลวงของชีวิต ของคนที่ต้องเดินไปข้างหน้า โดยที่ประวัติตัวเองถูกบันทึกไว้ในแฟ้มอาชญากรรม สมัครงาน ประกอบอาชีพอิสระ ที่ต้องโชว์สถานะของตัวเองก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบใช้ชีวิตปกติในหมู่บ้าน เกิดเหตุอะไรขึ้นมา เมื่ออำนาจรัฐตรวจสอบเห็นว่า เคยเป็นผู้ต้องหา ก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัย ตรงนี้คณะกรรมการธิการการล้างประวัติอาชญากรรมให้” นายณัฐวุฒิกล่าว 
 

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ในการพิจารณา ร่างกฎหมายฉบับนี้ เมื่อความเข้าใจของสังคมทั่วไปว่า นี่คือการเตรียมออกกฏหมายนิรโทษกรรมโดยสภา แต่เหตุใดทั้ง 3 ร่าง ที่รับมาจึงตั้งชื่อว่า เป็นร่างสร้างเสริมสังคมสันติสุข ซึ่งเจ้าของร่างตอบตรงกันว่า แม้บ้านเมืองนี้เคยออกกฎหมายนิรโทษกรรมมาแล้ว 23 ครั้ง ส่วนใหญ่เพื่อเป้าหมายในการแก้ไข และคลี่คลายความขัดแย้ง แต่บางกรณีกับกลายเป็นเหตุของความขัดแย้ง เช่น ความพยายามก่อการรัฐประหารครั้งล่าสุด จึงปรับชื่อของกฎหมาย ไม่ใช้คำว่านิรโทษกรรม ใช้คำว่าสร้างเสริมสังคมสันติสุข เป็นการแสดงเจตนาใช้คำไม่ให้กระทบกับความรู้สึกของคนบางส่วน และเห็นว่า เป็นการเปิดพื้นที่ให้กรรมาธิการคิด และมองได้กว้างขึ้น เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ 

พร้อมกับหยิบยกว่า กรรมาธิการเคยฟาดฟันทางการเมืองกันมา มีความเชื่อคนละอย่าง เดินคนละทาง ใส่เสื้อคนละสี มีอุปกรณ์แสดงความเป็นกลุ่มพวกคนละแบบตลอดมา แต่นั่งทำงานนี้ด้วยกันเป็นเวลา 2 เดือน มีการลงมติเพียง 3 ครั้ง นอกจากนั้นใช้วิธีการพูดคุยแลกเปลี่ยน และย้ำว่าการทำงานร่วมกัน ไม่ได้ทำให้ทุกคนมีความเชื่อทางการเมืองตรงกัน  แต่ทำให้สังคมได้ว่า สามารถพูดคุยและรับฟังถกเถียงกันได้ และมีวิธีการหาคำตอบสุดท้ายด้วยกัน จนงานสำเร็จ โดยไม่ปรากฏความขัดแย้ง 
 

“ไม่มีการวอล์คเอาท์ ไม่มีการเสนอนับองค์ประชุม ไม่มีกระบวนการใดก็ตาม ที่จะทำให้การประชุม หรือทำหน้าที่กรรมาธิการแต่ละครั้งเดินหน้าต่อไม่ได้ บรรทัดสุดท้ายการทำหน้าที่ของกรรมาธิการชุดนี้ ของกฎหมายที่นำเสนอต่อที่ประชุมคือ ไม่มีใครได้ทั้งหมด และไม่มีใครเสียทุกอย่าง แต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายมีความเห็นมีเป้าหมาย มีข้อเสนอของตัวเอง ในที่สุดกฎหมายออกมาได้บ้างไม่ได้บ้าง และมาขอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้” นายณัฐวุฒิกล่าว