
21 ตุลาคม 2568 " ราชกิจจานุเบกษา" เผยแพร่ เรื่อง พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2568 โดยให้มีผลบังคับใช้ถัดจากวันประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา
สำหรับสาระสำคัญ อยู่ที่ มาตรา 10 ระบุว่า "เมื่อมีกรณีที่จะต้องจัดให้มีการออกเสียงตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๙ (๑) ให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ และให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงตามวันที่กำหนดตามที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการ ซึ่งต้อง ไม่เร็วกว่าเก้าสิบวันและไม่ช้ากว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา
ทั้งนี้ หากพิจารณาเห็นว่าวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป หรือวันเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น เนื่องจากดำรงตำแหน่งครบวาระ แล้วแต่กรณี อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อาจกำหนดให้วันออกเสียงเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้งก็ได้ แต่ต้องไม่เร็วกว่าหกสิบวัน และไม่ช้ากว่าหนึ่งร้อยห้าสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา"
พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2568 มีการปรับเปลี่ยน วิธีการออกเสียงจากฉบับเดิมที่เคยกำหนดเข้าคูหากาบัตรลงคะแนนอย่างเดียวเป็นการเปิดช่องทางลงคะแนนตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ เช่น ทางไปรษณีย์ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ตามแต่กกต.กำหนด
เกณฑ์การนับคะแนนใหม่ ใช้หลัก เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียง โดยมีเงื่อนไข "คะแนนเสียงข้างมาก"ต้องสูงกว่า "คะแนนไม่แสดงความเห็น"
กระบวนการเผยแพร่ข้อมูลประชาสัมพันธ์ หลังประกาศวันประชามตินั้น กกต. ต้องเผยแพร่ขั้นตอนให้ประชาชนรู้ทั่วถึงพร้อมจัดให้ทุกฝ่ายแสดงความเห็นอย่างอิสระ เท่าเทียม ทั้งเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ แต่ห้ามเผยแพร่ข้อมูลแบบ "ชี้นำ" ให้เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ