
13 ตุลาคม 2568 สืบเนื่องจากได้กำหนดวันประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณา ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256(8) ในวันที่ 14 และ 15 ตุลาคมนี้ โดยมีร่างของ พรรคประชาชน พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย โดยตรวจสอบพบร่างแต่ละพรรคการเมืองต่างนำเสนอมีข้อแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ปัญหาว่า ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะผ่านทุกฉบับหรือไม่ อย่างไร
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชนได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คนละขั้นตอนกัน
แต่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตรา ไม่ต้องจัดทำประชามติ เว้นแต่แก้ไขในมาตรา 256(8) และจะต้องเป็นการพิจารณาร่วมสองสภา เป็นไปตาม รธน.มาตรา 156(15)
ร่างฉบับ 3 พรรคการเมือง เป็นการเสนอพิมพ์เขียวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) รูปแบบในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีความแตกต่างกันถึงที่มา และรูปแบบ และกระบวนการ
ในส่วนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256(8) ในยุครัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ที่คุมสภาสูง ย่อมผ่านอยู่แล้ว เพราะในกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 แก้ไขยาก มีหลุมพลางอยู่ที่ สมาชิกรัฐสภาเสียงข้างมากและ สว.หนึ่งในสาม ต้องพึ่งพาเสียง สว.จำนวน 67 คน ในวาระที่ 1 และวาระที่ 3 เป็นไปตาม รธน.มาตรา 256(3)(6)
แตกต่างในยุครัฐบาลแพทองธาร ไม่อาจหาเสียง สว.สนับสนุนได้เพราะ สว.ส่วนใหญ่เป็น สว.สีน้ำเงิน ดังนั้น ก่อนหน้านี้ ได้แค่คิดแก้ แต่หาเสียง สว.มาเติมในวาระที่ 1 ไม่ได้
พูดภาษาชาวบ้าน แก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ต้องใช้องค์ประกอบ สมาชิกรัฐสภา เสียงข้างมากและ เสียง สว.67 คน ถึงจะแก้ไขได้ จึงต้องพึ่งพาเกมสภาสูง
ร่างพิมพ์เขียว ทั้ง 3 พรรค ได้แก่ พรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ต่างนำเสนอ สารตั้งต้นบุคคลที่เป็นที่มาและจำนวน ที่มีความแตกต่างกัน แต่เป้าหมายเดียวกัน คือ จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐาน ตามคำวินิจฉัยที่ 18/2568 ว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง” พูดภาษาชาวบ้าน คือ ห้ามรัฐสภาจัดให้มีการเลือก สสร.
คำถามว่า ร่างเพิมพ์เขียวทั้ง พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย ต่างใช้วิธีการรูปแบบเลือกตั้ง สสร.ก่อนที่จะนำรายชื่อให้รัฐสภาคัดเลือกอีกครั้ง สามารถกระทำได้หรือไม่ หากอ่านคำวินิจฉัยฉบับเต็ม หากเป็นกระบวนการขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใด เป็นการเลือกตั้ง สสร.ย่อมมีผลทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หากดูร่างพิมพ์เขียวพรรคภูมิใจไทย ใช้โมเดล สสร.ปี 2539 ในยุครัฐบาลบรรหาร โดยใช้วิธีการสรรหาและแต่งตั้ง เพื่อป้องกันมิให้ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่มีจุดอ่อนในเรื่องการคัดเลือกบุคคล จะเหมือนกับตีเช็คเปล่าหรือไม่
โดยเพิ่มกระบวนการในด่านสุดท้าย ให้มี สว.หนึ่งในห้า หรือประมาณ 40 คน เป็นด่านสุดท้ายว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะผ่านด่าน สว.หรือไม่
โดยทั้งร่างพิมพ์เขียวพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ด่านสุดท้ายใช้เสียงข้างมาก โดย สว.ไม่มีส่วนร่วมในองค์ประกอบ เพราะหากใช้พิมพ์เขียวร่างฉบับพรรคภูมิใจไทย เกมอำนาจและตัวแปรหลัก อำนาจต่อรอง อยู่ที่ก๊กสีน้ำเงิน เป็นตัวแปรสำคัญ
ในทางปฏิบัติ หากมีร่างพิมพ์เขียวมากกว่าหนึ่งร่าง จะต้องเลือกใช้ร่างใดร่างหนึ่งในวาระที่ 1 เมื่อผ่านแล้ว ส่วนจะปรับแก้เนื้อหาเพื่อบูรณาการทุกฝ่าย โดยวิธีการตั้งกรรมาธิการทุกฝ่ายเพื่อปรับแก้ไขให้เนื้อหาให้สมดุลและเป็นเอกภาพ
ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพิ่มหมวด 15/1 ไม่ว่าจะออกแบบอย่างไร เป้าหมาย คือ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นเพียงสารตั้งต้นในการจัดทำรัฐธรรมนูญก่อนที่จะยุบสภาคืนอำนาจให้แก่ประชาชน
ในแง่การเมือง หากอ่านเกมการเมือง การจะใช้ร่างใดนั้น ตรงนี้ เป็นจุดแย่งซีนของแต่ละขั้วการเมืองในการเมืองสามก๊ก เพื่อสร้างคะแนนนิยมแต่ละพรรค
โดยต่างฝ่ายจะหยิบยกเรื่องแก้รัฐธรรมนูญไปรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งใหญ่ และในสภายังจะถูกหยิบข้อห้ามตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นห้ามจัดให้มีการเลือก สสร. ไปอภิปราย เพื่อใช้ร่างพิมพ์เขียวพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างว่า ร่างทั้งพรรคประชาชน ร่างทั้งพรรคเพื่อไทย ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ โดยขั้วสีน้ำเงิน เป็นพระเอกในสภา ทั้งที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยมีสภาสูงสีน้ำเงิน เป็นตัวเขี่ยและคุมเกม พี่น้องประชาชนจะได้ยินได้ฟังจากปากสมาชิกรัฐสภา หากใช้โมเดลปี 2539 ร่างพิมพ์เขียวพรรคภูมิใจไทย ไม่ขัดหรือแย้งต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
แต่ในการเมือง 3 ก๊ก ขั้วสีน้ำเงิน เป็นพรรคการเมืองอุดมการณ์ “อนุรักษ์นิยม” การขึ้นสู่ตำแหน่งฝ่ายบริหารและคุมสภาสูง แม้ระยะสั้น 4 เดือน แต่เป็นสารตั้งต้นมาจากอิทธิฤทธิ์ในรัฐธรรมนูญ 2560 หลายมาตรา อาทิ มาตรา 160 (5) ในเรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรี มาตรา 219 มาตรฐานจริยธรรม มาตรา 235 วรรคหนึ่ง(1) และวรรคสี่ ในเรื่องมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง – ใบดำ และประหารชีวิตทางการเมือง ที่เรียกกันว่า รธน.ฉบับปราบโกง ทำให้ นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยพ้นจากเก้าอี้ไป 2 คน เป็นเกมกำกับ หากเปลี่ยนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทย ย่อมไร้พลังอำนาจทางการเมือง เป็นได้เพียงพรรคการเมืองท้องถิ่น โอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งโอกาสยาก เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะพรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคการเมืองขนาดกลาง มิใช่พรรคการเมืองขนาดใหญ่
เป้าหมายทางการเมือง “4 เดือนยุบ เพื่อก้าวต่อไปอีก 4 ปี” ขั้วอำนาจสีน้ำเงิน จะเปลี่ยนเกมหลังยุบสภา หลังพ้นข้อตกลงหรือข้อผูกมัด MOA เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พรรคภูมิใจไทยชูธงในเรื่อง ความมั่นคง ย่อมได้ประโยชน์ในทางการเมือง ไม่ต่างจากนโยบายปิดด่านชายแดนไทยกัมพูชา ทำให้มีกองเชียร์และเป็นตัวแปรให้ชนะเลือกตั้งซ่อม จว.ศรีสะเกษ
เพราะอย่าลืมว่า หากใช้ร่างพิมพ์เขียวพรรคภูมิใจไทย ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ “ต้องใช้เสียง สว. 1 ใน 5 ” หรือจำนวน 40 คน ในขั้นตอนด่านสุดท้าย โดยจำนวนรวบรวมเสียง สว.40 คน อยู่ในซีก สว.สีน้ำเงิน มิใช่ สว.เสียงข้างน้อย หรือ สว.อิสระ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะผ่านหรือไม่ เป็นเกมการเมืองที่ร่างพิมพ์เขียวซ่อนความเป็นอนุรักษ์นิยมและความเก๋าเกมความเขี้ยวทางการเมืองทุกอณู
หากใช้ร่างพิมพ์เขียวฉบับพรรคภูมิใจไทย รัฐธรรมนูญฉบับที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญฉบับประชาชาชน ภาค 2 โอกาสผ่านหรือไม่ผ่าน อยู่ที่ก๊กสีน้ำเงิน เป็นหลัก เป็นตัวคุมเกมกำหนดทิศทางของประเทศ