
30 กันยายน 2568 ที่อาคารรัฐสภา นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ไทม์ไลน์ในการจัดทำประชามติ ว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลทำคนเดียวไม่ได้ รัฐบาลต้องปรึกษา กกต.เพราะเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่ กกต.ต้องดำเนินการ
ซึ่งมีเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมด้วยดังนั้นรัฐบาลต้องปรึกษาพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และ พรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร รวมถึง สมาชิกวุฒิสภาด้วย ตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะยุบสภาวันที่ 31 มกราคม 2569 จึงต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45 วัน และ ไม่ช้ากว่า 60 วัน ดังนั้นการจัดทำประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องทำไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วัน นับแต่วันที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งเรื่องถึงนายกรัฐมนตรี ด้วยเรื่องนี้มีความซับซ้อนต้องจัดทำไทม์ไลน์ให้ดี
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนนี้รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับประชาชนส่วนนี้ตนเชื่อว่าคนไทยฉลาด เชื่อว่าไม่สับสนกับบัตรเลือกตั้ง และ บัตรลงประชามติ เช่น บัตรเลือกตั้งก็ให้เป็นบัตรปกติโดยไม่มีสี แต่บัตรประชามติให้มีสีเหลือง หากเห็นชอบให้กาในช่องสีเขียว ไม่เห็นชอบให้กาช่องสีแดง ไฟเขียว ไฟแดงทุกคนก็รู้จัก ไฟแดงแปลว่าหยุด สต๊อปไม่ต้องทำ ไฟเขียวแปลว่าไป ส่วน MOU ก็ใช้กระดาษอีกสีหนึ่ง เช่น สีฟ้า ใช้ช่องกาสีเขียว และ สีแดง เช่นกัน
ทั้งนี้นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลควรขอความร่วมมือไปยัง กสทช.โดยให้ อสมท.และ ให้สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT จัดเวลาชี้แจงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ เรื่องการยกเลิก MOU โดยให้ฝ่ายที่เห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วย มีเวลาในการชี้แจงที่เท่ากัน
ผมเชื่อว่าคนไทยฉลาด ถ้าเราอธิบายให้ฟังชัดเจน สามารถให้เค้าแยกได้ว่าเป็นเรื่องลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 2 ใบ เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่อง MOU ไม่มีปัญหาแน่นอน
หากจัดให้มีการเลือกตั้ง และจัดทำประชามติแยกกันก็สามารถทำได้แต่ต้องใช้งบประมาณครั้งละ 6,000 ล้านบาท 3 ครั้ง รวม 18,000 ล้านบาท หากทำครั้งเดียวก็อาศัยเพียงความชัดเจนในการทำบัตร และ การชี้แจง
เมื่อถามว่าการหารือกับทุกฝ่ายต้องเกิดขึ้นให้เร็วที่สุดหรือไม่นั้น
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า เดือนกันยายนนี้มี 3 ร่างคือร่างจาก พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย แล พรรคประชาชน เพราะต้องอาศัยพรรคที่เป็นรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน และ สมาชิกวุฒิสภา เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องได้รับเสียงจากพรรคฝ่ายค้านไม่น้อยกว่า 20 %
เมื่อถามว่าต้องชัดเจนหรือไม่ว่าจะใช้ร่างใครเป็นหลัก
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ทุกพรรคอยากให้ใช้ร่างของตนแต่ท้ายที่สุดต้องมาเจรจาพูดคุยกันจนเป็นที่ยอมรับได้
ส่วนเรื่องคำถามประชามติมีการคิดไว้หรือไม่ว่าจะถามแบบไหน
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ต้องปรึกษากัน เมื่อถามต่อว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเป็นคำถามเดียว หรือ 2 คำถาม นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดว่าต้องทำ 3 ครั้ง แต่ครั้งที่ 1 และ ครั้ง ที่ 2 รวมกันได้ ไม่ใช่ที่เดียวในโลกที่ทำแบบนี้ ในต่างประเทศเช่นที่ฝรั่งเศสก็ทำมาแล้ว ที่ทำประชามติครั้งเดียวถามถึง 2 ครั้ง แต่ตัวคำถามจะตั้งอย่างไรต้องหารือกันเพราะรัฐบาลทำคนเดียวไม่ได้ จริงอยู่ที่เป็นอำนาจของรัฐบาลแต่ต้องขอความเห็นและความยินยอมของสมาชิกรัฐสภา กกต.
เมื่อถามว่ามีคำถามในใจบ้างแล้วหรือไม่
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า มีแล้ว แต่ยังไม่อยากพูดซึ่งเมื่อมีคำถามแล้วต้องมีการประชุมภายในเพราะ อำนาจในการตั้งคำถาม กกต.และรัฐบาลต้องปรึกษากัน เพราะประชามติคนที่จะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาคือรัฐบาล แต่คนที่ทำงานคือ กกต. และ ทุกฝ่าย
เมื่อถามถึงการอภิปรายที่เกรงว่ารัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงเรื่องฮั้ว สว.และ คดีเขากระโดงนั้น
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ตนในฐานะที่ดูแลฝ่ายกฎหมายยังไม่ได้คุยเรื่องนี้ แต่อย่างที่แถลงต่อรัฐสภาให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่ตนรับไม่ได้กับที่การเมืองจะลงไปใช้กฎหมายกับหน่วยงานของรัฐเป็นเครื่องมือทางการเมืองต้องพูดกันในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง