svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

สื่อนอกชื่อดังมอง คนไทยกว่า 60% หนุนทำประชามติ ยกเลิก MOU กัมพูชา

สื่อต่างประเทศชื่อดังมองคุ้มหรือไม่ หลังคนไทยกว่า 60% หนุนทำประชามติยกเลิก MOU กัมพูชา ชี้ไม่ใช่แต่แค่เรื่องเส้นเขตแดน แต่เป็นเรื่องระดับโลก

11 ตุลาคม 2568 Matt Hunt สื่อมวลชนอิสระ ผู้ที่โด่งดังจากการออกมาแฉว่า "นายไมเคิล อัลฟาโร" นักข่าวชาวอเมริกัน ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นสื่อทำเนียบขาว แต่กลับรายงานข่าวผิดมาตรฐาน บิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวหาประเทศไทยเกี่ยวกับเหตุพิพาทชายแดนกัมพูชา ว่าแท้จริงแล้วเป็น “ล็อบบี้ยิสต์” รับจ้างของกัมพูชานั้น ได้เขียนบทความกรณีการยกเลิก MOU ระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยระบุว่า "ไทยทำข้อตกลงกับกัมพูชาเพื่อสร้างพรมแดนที่ปลอดภัย แต่วันนี้ ข้อตกลงเหล่านั้นอาจถูกยกเลิก — ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?"

ประเทศไทยและกัมพูชา เคยลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสร้างความมั่นคงและสันติภาพตามแนวชายแดน แต่กว่าสองทศวรรษต่อมา ข้อตกลงเหล่านี้กลับเผชิญแรงกดดันให้ถูกยกเลิก 

Matt Hunt นักข่าวประจำประเทศไทยของ France24 สื่อระดับโลกของรัฐบาลฝรั่งเศส


 

เกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง?
 

จุดกำเนิดของ MOU 43 และ 44


ข้อตกลงทวิภาคีทั้งสองฉบับถูกลงนามมากว่า 20 ปี โดยยึดตามแนวเขตแดนที่วางไว้ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมต้นคริสต์ศตวรรษที่ 1900


MOU 43 ซึ่งลงนามในปี 2543 ว่าด้วยการกำหนดเส้นเขตแดนทางบกในพื้นที่ทับซ้อน


MOU 44 ลงนามในปี 2544 ครอบคลุมพื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งเชื่อว่ามีแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่


ข้อตกลงทั้งสองฉบับได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วม เพื่อให้ทั้งสองประเทศมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม ในการแก้ไขปัญหาและลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น


ก่อนหน้าที่จะมี MOU เหล่านี้ ความขัดแย้งบริเวณชายแดนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี


ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ไทยได้ยื่นประท้วงต่อการละเมิดจากกัมพูชามากกว่า 500 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างจริงจัง


อดีตที่ผ่านมา กัมพูชาเคยนำเรื่องพิพาทขึ้นสู่ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งในปี 2505 ศาลได้ตัดสินว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ไม่ได้ระบุเขตพื้นที่โดยรอบไว้อย่างชัดเจน ช่องว่างนี้ยังคงเป็นประเด็นที่กระตุ้น ให้เกิดการตีความ การเมืองภายใน และกระแสชาตินิยมในไทยมาจนถึงทุกวันนี้

"นายไมเคิล อัลฟาโร" นักข่าวชาวอเมริกัน ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นสื่อทำเนียบขาว

แรงกดดันครั้งใหม่ให้ยกเลิก MOU
 

เหตุปะทะตามแนวชายแดน และความตึงเครียดทางการเมืองในระยะหลัง ทำให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับอีกครั้ง


นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า


“ถ้ามันไม่เกิดผลในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา แล้วเราจะเก็บไว้ทำไม?”


เขาเสนอให้ประเด็นนี้ถูกนำไปสู่การลงประชามติในช่วงการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจที่พบว่า ร้อยละ 60 ของคนไทยสนับสนุนสนับสนุนให้ทำประชามติ เรื่องการยกเลิก MOU แม้คนส่วนใหญ่จะยังไม่เข้าใจเนื้อหา และผลผูกพันทางกฎหมายของข้อตกลงอย่างแท้จริง 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย

 

เหตุผลของฝ่ายที่คัดค้าน: ทำไมไทยไม่ควรยกเลิก MOU
 

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และกฎหมายระหว่างประเทศ จำนวนมากเห็นตรงกันว่า

MOU 43 และ 44 คือกลไกทางกฎหมายที่ปกป้องผลประโยชน์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ

ข้อตกลงเหล่านี้ไม่เพียงช่วยป้องกันการกระทำฝ่ายเดียวจากกัมพูชา แต่ยังเป็น “กันชน” ที่ลดความเสี่ยงต่อการแทรกแซงจากต่างชาติ และช่วยรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคอาเซียนตามหลัก “ไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน (ASEAN non-interference principle)”


นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อัครพงษ์ ค่ำคูณ ชี้ว่า MOU ทั้งสองฉบับถูก “เข้าใจผิดและบิดเบือน” โดยกระแสชาตินิยมในประเทศ เขายืนยันว่า MOU 43 และ 44 ไม่ได้ทำให้ไทยสูญเสียดินแดนแม้แต่นิ้วเดียว และข้อกล่าวหาที่ว่าไทย ถูกบังคับให้ใช้ หรือ ยอมรับ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 นั้น “ไม่เป็นความจริง”


รายละเอียดดังกล่าวปรากฏเฉพาะในเอกสารอ้างอิงแนบท้าย ที่จัดทำภายหลังหลายปี ไม่ได้อยู่ในตัว MOU เดิมเลย 

สื่อนอกชื่อดังมอง คนไทยกว่า 60% หนุนทำประชามติ ยกเลิก MOU กัมพูชา


อัครพงษ์ เตือนว่า การถอนตัวฝ่ายเดียวอาจทำให้ไทย “เสียความน่าเชื่อถือในเวทีโลก” เพราะจะถูกมองว่าไทยไม่ยึดมั่นในพันธกรณี ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลระยะยาวต่อความไว้วางใจของประเทศคู่เจรจา


เขาเสนอว่า แทนที่จะยกเลิก ไทยควร ใช้ MOU เป็นกรอบทางกฎหมายเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือเชิงเทคนิคกับกัมพูชา เช่น การจัดทำแผนที่ดาวเทียม การสำรวจภูมิประเทศร่วม และการกำหนดเส้นเขตแดนแบบดิจิทัลในลักษณะโปร่งใสและตรวจสอบได้

แนวทางนี้จะไม่เพียงเสริมสร้างอธิปไตยของไทย แต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ของไทยในฐานะ “ประเทศที่มีความรับผิดชอบและยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ”

สื่อนอกชื่อดังมอง คนไทยกว่า 60% หนุนทำประชามติ ยกเลิก MOU กัมพูชา

ขณะเดียวกัน ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า MOU 43 ยังเป็น “กรอบเจรจาที่ทรงพลัง” และได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย เขาแนะนำว่าแทนที่จะ “ฉีกข้อตกลงทิ้ง” ไทยควรใช้กรอบเดิมนี้เป็น “จุดตั้งต้น” เพื่อเจรจาใหม่อย่างยืดหยุ่น แต่ยังคงไว้ซึ่งความชอบธรรมทางกฎหมาย


ภัทรพงษ์ เตือนเพิ่มเติมว่า การยกเลิก MOU โดยไม่เตรียมแนวทางรองรับ อาจทำให้ไทยเสี่ยงถูกกัมพูชา นำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) อีกครั้ง และอาจเปิดช่องให้ประเทศที่สามเข้ามาเป็น “ตัวกลางไกล่เกลี่ย” ซึ่งขัดต่อหลักการอาเซียนที่ไทยยึดถือมาโดยตลอด


ในทางกลับกัน การรักษา MOU ไว้ คือการแสดงถึง “วุฒิภาวะทางการทูต” และ “ความต่อเนื่องทางกฎหมาย” ที่ช่วยให้ไทยสามารถจัดการข้อพิพาทอย่างมีระบบ ภายใต้กลไกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกัน
 

ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองเห็นตรงกันว่า แม้ MOU จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่เป็น “สะพานเชื่อมระหว่างกฎหมายกับการทูต”
 

หากยกเลิกโดยสิ้นเชิง ไทยจะสูญเสียช่องทางเจรจาที่เป็นทางการ และเปิดช่องให้ประเด็นชายแดนถูกลากเข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและแรงกดดันจากภายนอก


สื่อนอกชื่อดังมอง คนไทยกว่า 60% หนุนทำประชามติ ยกเลิก MOU กัมพูชา
 

สิ่งที่กำลังเดิมพันอยู่
 

นักวิชาการและนักการทูตเตือนว่า การยกเลิก MOU ฝ่ายเดียวจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของไทยในฐานะ “ประเทศที่เคารพกฎหมายและรักษาคำมั่นระหว่างรัฐ”


ยิ่งไปกว่านั้น อาจทำให้กัมพูชามี “ฐานทางกฎหมายที่แข็งแรงขึ้น” ในการอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ทับซ้อนในอนาคต

ในทางกลับกัน การคงไว้และปรับปรุง MOU ให้ทันสมัย จะช่วยให้ไทยรักษาความต่อเนื่องทางกฎหมาย ลดความตึงเครียด และแสดงบทบาทในฐานะ “ผู้นำเชิงสร้างสรรค์ในภูมิภาค” ที่ส่งเสริมกติกาสากล ขณะเดียวกันก็ปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างมีศักดิ์ศรี
 

สรุป:
 

อนาคตของ MOU 43 และ 44 ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของ “เส้นเขตแดน” แต่สะท้อนถึง “บทบาทของไทยในระเบียบโลกที่ยึดโยงกับหลักกฎหมายและกติกาสากล (rules-based international order)”

แทนที่จะละทิ้งข้อตกลงเหล่านี้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองระยะสั้น ไทยสามารถใช้ MOU เป็น “เครื่องมือทางการทูตเชิงยุทธศาสตร์” เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอธิปไตยและความร่วมมือ ยืนยันบทบาทความเป็นผู้นำของไทยในภูมิภาค และรักษาความน่าเชื่อถือในสายตาประชาคมโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน