
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดผลการหารือภายหลังนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หารือร่วมกับคณะผู้แทนภาคเอกชนไทยในกัมพูชา เพื่อรับฟังปัญหา และข้อเสนอจากภาคเอกชนต่อสถานการณ์และความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาว่า มีผู้แทนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมกว่า 90 คนเข้าร่วม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ขอบคุณภาคเอกชนไทยในกัมพูชาในการขับเคลื่อน และส่งเสริมเศรษฐกิจ 2 ประเทศ แต่สถานการณ์ชายแดน มีผลกระทบทุกมิติ รวมถึงเศรษฐกิจ และประชาชนด้วย รวมถึงมาตรการต่าง ๆ ของกัมพูชา ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยหลายกลุ่ม และมีกระแสต่อต้านสินค้าไทยในกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทบต่อยอดขาย และรัฐบาลไทยไม่ประสงค์ให้ความขัดแย้งขยายตัว และย้ำตลอดว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาระหว่างรัฐกับรัฐ ไม่ได้มีเป้าโจมตีประชาชน แต่กัมพูชากลับจงใจให้ประชาชนได้ผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม รวมถึงบอยคอตสินค้าไทย ทั้งทางตรง และทางอ้อมเช่นกัน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังเปิดเผยว่า ในการหารือดังกล่าวได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ทั้งระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งรัฐบาล จะได้นำไปกำหนดเป็นมาตรการเยียวยาต่อไป และการหารือของรัฐบาลต่อประเด็นดังกล่าว คาดว่า จะเกิดขึ้นเร็วที่สุดในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือภายในเดือนนี้ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และการดำเนินการในขั้นต่อไปนั้น หน่วยงานไทยในประเทศ และต่างประเทศ จะดำเนินการร่วมกันอย่างเอกภาพ ภายใต้ ''ทีมไทยแลนด์'' และกระทรวงการต่างประเทศ จะประสานงานอย่างใกล้ชิดทุกฝ่าย เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก เพื่อสร้างขีดความสามารถ และโอกาสธุรกิจไทย เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย ให้สามารถปรับตัวท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ
ส่วนข้อเสนอจากภาคเอกชนส่วนใหญ่นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า มีหลายข้อเสนอ และอยากให้รัฐบาลนำไปพิจารณาช่วยเหลือ เช่น มาตรการภาษี มาตรการทางการเงิน สินเชื่อ การช่วยเหลือค่าไฟ ฯลฯ และยังมีผลกระทบหลายเรื่องจาการค้าชายแดนที่ชะงักลงไป แต่ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบจากการรณรงค์ไม่บริโภคสินค้าไทยจากรัฐบาลกัมพูชา ทั้งธุรกิจพลังงาน ธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม ร้านสะดวกซื้อและร้านค้าส่ง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ จะนำข้อเสนอ เพื่อเสนอต่อการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เพื่อกำหนดนโยบายให้ความช่วยเหลือต่อไป
ส่วนผลกระทบจากการปิดพรมแดนนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เป็นที่รับทราบ เพราะทราบว่า มูลค่าการค้าชายแดน คิดเป็น 50 เปอร์เซ็นของมูลค่าการค้าทั้งหมด ซึ่งเอกชนส่วนใหญ่ ได้มีมาตรการชั่วคราวในการแก้ปัญหา เช่น การปรับเปลี่ยนเส้นทางขนส่งจากทางบก เป็นทางเรือ รวมถึงยังรอผลการเจรจาไทย-กัมพูชา ในกลไกต่าง ๆ ทั้ง GBC RBC และ JBC รวมถึงข้อตกลงหยุดยิง เพื่อให้เกิดสันติภาพอย่างถาวร และประเทศไทยยังเชื่อมั่นในการเจรจา รวมถึงหากกัมพูชา มีความจริงใจในการเจรจา สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น
ส่วนมีข้อเสนอการเปิดด่านทางบกหรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า ไม่มีข้อเสนอ แต่มีคำถามว่า จะสามารถกลับมาเปิดด่านอีกครั้งได้เมื่อใด ซึ่งตนเชื่อมั่นว่า เอกชนทราบดีถึงเหตุผลด้านความปลอดภัยในการปิดด่าน และเอกชน ก็ได้แสดงความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งกระทรวงฯ ก็เชื่อมั่นว่า การเจรจาจะสามารถนำมาสู่ข้อตกลงใด ๆ ได้
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นแก้ปัญหาไทย-กัมพูชาอย่างสันติ และเลือกเส้นทางสันติภาพและความร่วมมือ พร้อมหวังว่า กัมพูชาจะเลือกเส้นทางเดียวกับไทย เพื่อความสงบ และยั่งยืน