
18 กันยายน 2568 สืบเนื่องจากพรรคเพื่อไทยได้ขอถอนคำร้องที่ขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยสมาชิกภาพความเป็น สส.ของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้สิ้นสุดลง ตาม รธน. มาตรา 144, 185 ประกอบมาตรา 101(7) โดยขอแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ ต่อมาเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 แกนนำเพื่อไทยผู้ประสานได้เรียก มือกฎหมายที่มีประสบการณ์คดีการเมืองนอกพรรคมาพบที่บริเวณชั้น 3 โดยปิดห้องประชุมเป็นความลับ เพื่อแก้เกมการเมือง
ต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2568 เวลา 14.00 น. มีรายงานว่า "ดร.ณัฎฐ์" หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้เดินทางมาที่พรรคเพื่อไทยเพื่อส่งมอบเอกสารสำคัญจำนวน 3 ฉบับ ให้กับแกนนำพรรคเพื่อไทย โดยให้สัมภาษณ์ว่า ทีมงานของตนได้ยกร่างคำร้องจำนวน 3 ฉบับเสร็จสมบูรณ์ตามสภาพการจ้างทำของในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย โดยได้แถลงให้สื่อมวลชนทราบ
ต่อมาวันเดียวกัน นายศุภชัย ใจสมุทร จากพรรคภูมิใจไทยได้ออกมาแถลงและพุ่งเป้าโจมตีในเชิงสกัดเพื่อมิให้พรรคเพื่อไทยยื่นคำร้องทั้ง 2 ฉบับต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ และอีก 1 ฉบับต่ออัยการสูงสุด นั้น
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวและกล่าวว่า การทำหน้าที่ให้คำปรึกษากฎหมาย ไม่ได้กระทำเคสนี้เป็นเคสแรก แต่ได้ให้คำปรึกษาทางกฎหมายให้แก่คณะบุคคล เช่น สว. หรือพรรคการเมืองอื่นก่อนหน้านี้ หลายพรรค แต่ไม่เป็นข่าว แต่ครั้งนี้ พี่น้องประชาชนสนใจในเรื่องนิติสงครามเหลี่ยมกฎหมาย เพราะนักกฎหมายมหาชนระดับประเทศในเมืองไทยมีไม่ถึง 5 คน ที่เชี่ยวชาญรัฐธรรมนูญ แตกต่างจากตนมีประสบการณ์ทางคดีมายาวนานถึง 30 ปีเศษและมีความเชี่ยวชาญคดีการเมืองโดยตรง ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ทางการเมืองให้รับทำงานคดีมาตลอดและไม่ได้ทำฟรีทุกอย่างต้องว่าจ้าง เป็นไปตามการประกอบวิชาชีพกฎหมายทุกประการ โดยตนไม่เคยเสนอตัวรับทำคดีให้กับพรรคการเมืองค่ายใด
กรณีที่ นายศุภชัย ใจสมุทร ฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจ ออกตัวแรงเล่นใหญ่ ตนจะสวนกลับทุกดอกและไม่ได้ให้ราคาคนอย่างนายศุภชัย ใจสมุทร สิ่งที่นายศุภชัยฯ ได้กระทำใส่ร้ายป้ายสีในทางการเมือง ต้องรับผิดชอบในการกระทำ ตนรับดำเนินการเป็นวิชาชีพทางกฎหมาย เป็นเรื่องระหว่างตนและคณะทีมทนายความกับผู้ว่าจ้าง เมื่อทำงานเสร็จและส่งมอบงานตามสภาพการจ้างทำของถือว่า ตนหมดพันธะตามการจ้าง และตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยและไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่มีความเป็นกลางทางการเมือง
การทำหน้าที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวนายศุภชัย ใจสมุทร ถือว่ายุ่งเรื่องชาวบ้าน เอาใจนายใหญ่เขากระโดง แต่คดีฮั้ว สว.สีน้ำเงินและที่ดินเขากระโดงที่หลวงมาคืนการรถไฟทำเป็นนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก การออกมาดิสเครดิต ไม่มีผลทำให้ตนขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มีผลอะไรกับตน เพราะการใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองและเล่นการเมืองแบบสกปรก จะนำมาใช้กับตนไม่ได้ เพราะตนไม่ได้เป็นบุคคลสาธารณะ โดยสิ่งที่กล่าวหาล้วนไม่เป็นความจริง ผมขอท้าชนคนประเภทนี้ เพื่อมิให้บุคคลอื่นกระทำเป็นเยี่ยงอย่าง
เมื่อวานนี้ 17 กันยายน 2567 ได้มอบอำนาจให้ทนายความไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับ นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้หิวแสง ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ต่างกรรมต่างวาระ ต่อพนักงานสอบสวน สน.บางพลัด โดย พนง.สอบสวนได้รับคำร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว ตนขอเรียนกับพี่น้องประชาชนว่า สถานะนายศุภชัย ใจสมุทร ตกเป็น “ผู้ต้องหา” ตามกฎหมายแล้ว
หากใครเสนอให้นายศุภชัย ใจสมุทร ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะใช้กฎหมายจัดการ ร้องขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพราะสถานะนายศุภชัยฯตกเป็น “ผู้ต้องหา” เล่นกับใครไม่เล่น
สำหรับตน ไม่มีประวัติในการต้องคดีอาญา ไม่มีประวัติในการทุจริต ตนมีหลักฐานทางราชการในการตรวจสอบประวัติอาชญากร กองประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มายืนยันหักล้างข้อกล่าวหาได้ทุกประเด็น
ส่วนที่ถามว่า จะยื่นฟ้องคดีในคดีอาญาและคดีแพ่งโดยตรงหรือไม่นั้น ตนยังไม่ตัดสินใจ เพราะมีงานเร่งด่วนหลายเรื่องและเป็นงานสำคัญของบ้านเมือง หากฟ้องโดยตรง ค่าเสียหายที่ได้ จะนำไปทำบุญให้แก่คนด้อยโอกาสและซื้ออาหารให้หมาจรจัด ของแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายมีกฎหมายคุ้มครอง แต่คุณเล่นนอกกติกา ทำให้ประชาชนสับสนและเข้าใจผิด ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู อย่างนายศุภชัยฯเป็นได้แค่ “ทนายหน้าหอ” ตนกล้าท้าชนและใช้สิทธิทางกฎหมายอย่างเดียวเอาให้ติดคุกให้ได้ ไม่ขอรับกระเช้า รวมถึงดำเนินคดีอาญาทุกรายที่ใส่ร้ายป้ายสี ทำให้เกิดความเสียหาย
ตนยอมรับในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนเห็นต่างกันได้ในเชิงวิชาการ แต่ล่วงละเมิดสิทธิเกินขอบเขตที่กฎหมายคุ้มครองไม่ได้ แต่นายศุภชัย ประกอบวิชาชีพทนาย เป็นบุคคลที่รู้กฎหมาย แต่หน้ามืดตามัวโชว์นายใหญ่ เป็นการละเมิดกฎหมาย ทั้งผิดมรรยาททนายความ ตนเอาไว้ไม่ได้ ต้องจัดการให้เด็ดขาด
การจ้างทำของ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะมีสัญญาหรือไม่ก็ได้ ไม่มีกฎหมายบังคับไว้ การให้คำปรึกษากฎหมายให้แก่ประชาชน คณะบุคคล หรือนิติบุคคล หรือพรรคการเมือง ย่อมถือเป็นการจ้างทำของประเภทหนึ่ง และการว่าจ้างให้คำปรึกษา ตนเองไม่เคยเสนอตัว ตามที่นายศุภชัยฯคาดคะเน เพราะมีแต่ประชาชนผู้รักความถูกต้อง ยึดหลักนิติรัฐไว้วางใจตนในการทำหน้าที่ ไม่ได้ไปแสวงหาประโยชน์ที่มิควรในทางการเมืองเหมือนใครบางคน และตนไม่ได้ทำเป็นตัวความเสียเอง ตนถามว่า หาก นายศุภชัยฯ เป็นทนายช่วยโจร คุณต้องเป็นทนายโจรด้วยหรือไม่
เมื่อข้อว่าจ้างไม่ได้ผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมาย นักกฎหมายทุกคนย่อมกระทำได้โดยอิสระ ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามให้ตนและคณะทีมทนายความ นายศุภชัย ยังไม่ได้เห็นคำร้องทั้ง 3 ฉบับเต็ม ตนมีมรรยาทไม่เปิดเผยความลับลูกความ หากเปิดเผยรับรองว่า "หงายตกเก้าอี้" พรรคภูมิใจไทยครั้งหน้า จะได้กี่เสียง อย่าโชว์พาวน์เหนือกว่าคนอื่น เพราะตนเป็นคนสู้คน ไม่เคยกลัว ยึดหลักความถูกต้อง พร้อมกล้าท้าชนทุกเวที