
26 เมษายน 2568 สืบเนื่องจาก นายสนธิญา สวัสดี ได้ยื่นคำร้องต่อ ปปช.เพื่อตรวจสอบกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงพลังงาน ส่อขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 กรณียังมีชื่อเป็นกรรมการในบริษัทเอกชน แม้จะมีการโอนหุ้นไปให้บริษัทจัดการทรัพย์สินแทนแล้วก็ตาม โดยอาจถือว่าเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนว่าด้วยผลประโยชน์ขัดกัน
ล่าสุด ดร.ณัฏฐ์ ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นความรู้ทางด้านกฎหมายมหาชน อันเป็นประโยชน์สาธารณะ ในประเด็นดังกล่าว รัฐธรรมนูญได้บัญญัติเป็นคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็นเจ้าของหรือถือครองหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ในมาตรา ๙๘(๓) และห้ามรัฐมนตรีถือครองหุ้นในห้างหุ้นส่วนและบริษัท รวมถึงห้ามเป็นลูกจ้างอีกด้วย โดยบัญญัติห้ามไว้ในมาตรา ๑๘๗
แต่รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้รัฐมนตรีจะต้องแจ้งให้ ประธาน ปปช.ทราบภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และจะต้องโอนหุ้นให้นิติบุคคลแก่นิติบุคคลไปบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นภายใน 90 วัน และจะต้องแจ้งให้ ปปช.ทราบภายใน 10 วัน ตามพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 โดยกฎหมายกำหนดหุ้นขั้นต่ำ ที่รัฐมนตรีถือไว้ได้ ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
แตกต่างกรณีเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติห้ามผู้สมัคร สส. หรือ สว.จะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามไว้ในมาตรา 98(3) และ พรป.สส. หรือ พรป.สว.ต้องไม่มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามก่อนยื่นใบสมัคร
แต่รัฐธรรมนูญบัญญัติเป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติลักษณะต้องห้าม รวมถึงรัฐมนตรีในมาตรา 160(6) เช่นกัน
ประเด็นของนายพีระพันธุ์ฯ มีการโอนหุ้นให้แก่นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของคนอื่นหรือไม่ จากการตรวจสอบพบว่า นายพีระพันธุ์ฯ บอจ.4 ยังถือครองหุ้นทั้ง 4 บริษัท เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เด็ดขาดจะต้องโอน หมายความว่า กรรมสิทธิ์ในหุ้นจะต้องโอนด้วย แม้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ได้ทำสัญญาให้บริษัทอื่นบริหารจัดการก็ตาม
แต่รัฐธรรมนูญห้ามเด็ดขาด รัฐมนตรีจะเข้าไปเกี่ยวข้องการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทไม่ได้ โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 187 วรรคสาม
ซึ่งจากการตรวจสอบกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า นายพีระพันธ์ ฯ เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นของบริษัท หากตรวจสอบรายละเอียด พบว่า บริษัท รพีโสภาค จำกัด ทะเบียนนิติบุคคลเลขที่ 0105556089395 มีวัตถุประสงค์ ข้อ 17 ในการประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ บริษัท โสภา คอลเล็คชั่นส์ จำกัด ทะเบียนนิติบุคคลเลขที่ 0105561163191 มีวัตถุประสงค์ ข้อ 17 ในการประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด ทะเบียนนิติบุคคลเลขที่ 0105532097495 วัตถุประสงค์ข้อ 19 ในการประกอบกิจการโรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือ พิมพ์หนังสือจำหน่าย และออกหนังสือพิมพ์ และบริษัท พี แอนด์ เอส แลนด์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ทะเบียนนิติบุคคลเลขที่ 0105532097487 วัตถุประสงค์ ข้อ 18 ในการประกอบกิจการโรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือ พิมพ์หนังสือจำหน่าย และออกหนังสือพิมพ์ ซี่งเป็นคุณสมบัติต้องห้ามดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในมาตรา 160(6) ประกอบมาตรา 98(3) อธิบายความได้ว่า กรณีขาดคุณสมบัติในการสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ย้อนหลังไปถึงวันที่ยื่นใบสมัครต่อ กกต. เพราะเป็นความผิดสำเร็จแล้ว
แม้จะปรากฎข้อเท็จจริงว่า นายพีระพันธุ์ลาออกจาก สส. ไปแล้วก็ตาม ไม่มีผลกฎหมาย ให้ความผิดสำเร็จไปแล้วไม่เป็นความผิด เมื่อได้ความว่า เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็น สส.บัญชีรายชื่อ ภายลาออกจากตำแหน่งวันที่ 30 มิถุนายน 2566 กกต.ย่อมสามารถไต่สวน ย้อนหลังเอาผิดคดีอาญาได้
หากพิจารณาถึงสถานะกรรมการบริษัททั้งขณะนี้ยังดำรงตำแหน่งอยู่และลาออกไปสมัยรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร นั้น หากพิจารณาข้อเท็จจริง มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้นายพีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ประกอบด้วย 2 รัฐบาล (1) รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เมื่อ วันที่ 1 กันยายน 2566 ประกาศราชกิจจานุเบกษา วันที่ 2 กันยายน 2566 จนถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่ง (2) รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เมื่อ วันที่ 3 กันยายน 2567 ประกาศราชกิจจานุเบกษา วันที่ 4 กันยายน 2567
จากการตรวจสอบกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า นายพีระพันธุ์ฯ ยังมีสถานะเป็นกรรมการบริษัท ของบริษัท รพีโสภาค จำกัด นับตั้งแต่ก่อนเป็นรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2556 จนถึงปัจจุบันที่นั่งเป็นรัฐมนตรีแล้ว โดย นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค และนางโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค ยังมีสถานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งคนใดมีอำนาจในการลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทได้ อธิบายได้ความ แม้นายพีระพันธุ์ฯจะทำสัญญาให้บริษัทบุคคลภายนอกจัดการในทางนิติกรรมสัญญา แต่หุ้นยังไม่มีการโอนและยังมีอำนาจจัดการบริหารบริษัท แสดงถึงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบริษัท ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 วรรคสามและขัดต่อพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 มาตรา 11 ที่บัญญัติห้าม รัฐมนตรีกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการบริหารครอบงำหรือออกคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือการจัดการหาผลประโยชน์ในหุ้นส่วนหรือหุ้น ซึ่งถือว่า มีความสงสัยสถานะความเป็นรัฐมนตรีของนายพีระพันธุ์ฯ สิ้นลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
จากการตรวจสอบกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า บริษัท โสภา คอลเล็คชั่นส์ จำกัด นายพีระพันธุ์ เป็นกรรมการ ระหว่าง วันที่ 21 กันยายน 2561 - วันที่ 29 ตุลาคม 2567 บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด นายพีระพันธุ์ เป็นกรรมการ ระหว่าง วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 - วันที่ 29 ตุลาคม 2567 และบริษัท พี แอนด์ เอส แลนด์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ถือหุ้น ลำดับที่ 1 จำนวน 46,500 หุ้น(อยู่ระหว่างตรวจสอบสถานะกรรมการ) เป็นการลาออกภายหลังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ทั้งสิ้น ส่อแสดงว่า ในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ยังเป็นกรรมการบริษัทเอกชนทั้งสามแห่งอีกด้วย
บทบัญญัติห้ามรัฐมนตรี ขัดกันแห่งผลประโยชน์ระหว่างประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สาธารณะ ห้ามเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ ห้ามถือครองหุ้นในกิจการของห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัท โดยพระราชการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 กำหนดสัดส่วนหุ้นขั้นต่ำไว้ ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือส่วนมวลชนใดๆ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(6) ประกอบมาตรา 98(3) มาตรา 186 และมาตรา 187 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 126 มาตรา 127 ประกาศ ปปช. เรื่อง กำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามความในมาตรา 126 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ประกาศ ปปช. เรื่อง กำหนดจำนวนหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่กรรมการ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และเจ้าพนักงานของรัฐที่คณะกรรมการ ปปช.กำหนดถือหุ้นได้ ตามมาตรา 126(2) พ.ศ.2563 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ประกาศ ปปช.เรื่อง กำหนดจำนวนหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่กรรมการ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และเจ้าพนักงานของรัฐที่คณะกรรมการ ปปช.ประกาศกำหนด ถือหุ้นได้ ตามมาตรา 126(3) พ.ศ.2563 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 และประกาศ ปปช.เรื่อง กำหนดตำแหน่งซึ่งต้องห้ามมิให้ดำเนินการตามมาตรา 127 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 -ประกาศ ปปช.เรื่อง หลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส พ.ศ.2561 ลงวันที่ 21 กันยายน 2561 รวมถึงพระราชการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 11 ห้ามรัฐมนตรีกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการบริหารครอบงำหรือออกคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือการจัดการหาผลประโยชน์ในหุ้นส่วนหรือบริษัท
ยังพบข้อเท็จจริงที่ปราฎอันแพร่หลายของนายทะเบียน กรมพัฒนาธุกิจการค้า พบว่า นายพีระพันธุ์ รัฐมนตรี มีการถือหุ้นอยู่ในบริษัทเอกชน ปรากฏชื่อของ พล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในปัจจุบัน เป็นผู้มีอำนาจลงนาม หรือเป็นกรรมการบริษัท โดยในส่วนของ นายพีระพันธุ์ ถือครองหุ้นใน 4 บริษัท ตามเอกสารที่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สินที่ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูล ได้แก่
บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 588,500 หุ้น (คิดเป็น 73.58%) บริษัทนี้ มีกรรมการ 3 คน ได้แก่ พล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด นายสยาม บางกุลธรรม และร้อยเอกพีระภัฏ บุญเจริญ
บริษัท พี แอนด์ เอส แลนด์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 46,500 หุ้น (คิดเป็น 93%) มีกรรมการ 2 คน ได้แก่ น.ส.กนกวรรณ ลิ้มสุวรรณ และพล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด
บริษัท รพีโสภาค จำกัด บริษัทนี้ นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 22,000 หุ้น (คิดเป็น 73.33%) บริษัทนี้มีกรรมการ 2 คน ได้แก่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐภาค และ นางโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค
บริษัท โสภา คอลเล็คชั่นส์ จำกัด นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 1,000 หุ้น (คิดเป็น 10%) โดยบริษัทนี้มีกรรมการ 1 คน ได้แก่ น.ส.ภัทรพรรณ สาลีรัฐวิภาค
แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญเปิดช่อง ให้การถือหุ้นของผู้ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น สามารถโอนหุ้นไปให้บริษัทดูแลบริหารจัดการแทนได้
กรณีของ นายพีระพันธุ์ ทำสัญญาโอนหุ้นไปให้ บมจ.เอ็มเอฟซี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567 แต่จากการตรวจสอบยังพบว่า ปัจจุบันยังไม่มีการโอนหุ้นและยังถือครองอยู่ เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๑๒๙ จะต้องทำหนังสือและต้องจดทะเบียนโอนหุ้นด้วย แต่เมื่อตรวจสอบพบว่า ในปัจจุบัน นายพีระพันธุ์ ยังคงเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามอยู่ในบริษัทรพีโสภาค จำกัด ที่ตนเองถือหุ้นอยู่กว่า 73.33% จากข้อมูลทะเบียนนิติบุคคล ของบริษัทของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุชัดว่า นายพีระพันธุ์ เป็นกรรมการบริษัทมาตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย. 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยแม้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ก็ไม่ได้มีการลาออกแต่อย่างใด
ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ ยังเคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัทที่ตนเองถือหุ้นอีก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด และบริษัท โสภา คอลเล็คชั่นส์ จำกัด ก่อนที่จะลาออกไปเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2567 เป็นที่น่าเคลือบแคลงน่าสงสัยในสถานะความเป็นรัฐมนตรีของนายพีระพันธุ์ฯ เข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 2566 สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะมีการแจ้งลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัททั้ง 2 แห่งในรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นกรณีสงสัยอย่างยิ่งในการเข้าสู่ตำแหน่งและดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ของนายพีระพันธุ์ฯ เข้าข่ายขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ และคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ครั้งที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การที่รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง มีพฤติกรรมที่ขัดกับรัฐธรรมนูญแบบนี้ ย่อมไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะตัวของรัฐมนตรีเท่านั้น แต่จะมีปัญหาในการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง กระทบไปถึงสถานะการดำรงตำแหน่งของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เสนอทูลเกล้าฯ อีกด้วย
อีกทั้ง อาจมีผล ลุกลามกระทบต่อสถานะ กก.บห.พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่นายพีระพันธุ์ฯดำรงตำแหน่ง เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ตาม พรป.พรรคการเมืองอีกด้วย
ส่วนที่ถามว่า กรณีมีข้อสงสัยสถานะความเป็นรัฐมนตรีของนายพีระพันธุ์ฯสิ้นสุดลงหรือไม่ สามารถดำเนินการตรวจสอบช่องใดได้บ้างนั้น “ดร.ณัฏฐ์” กล่าวว่า โดยหลัก รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้ตรวจสอบได้ ทั้ง สส. สว. กกต.หรือผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่อำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่หากช่องทาง ล่ารายชื่อ สส.หรือ สว.ค่อนข้างรวดเร็วที่สุด เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 82 วรรคสาม ประชาชนสามารถยื่นคำร้องของให้ กกต.ตรวจสอบได้ ส่วนสมาชิกรัฐสภา โดย สส.หรือ สว. จำนวนหนึ่งในสิบของสมาชิกแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกสภาแห่งนั้น เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เหมือนที่ สว.สีน้ำเงิน ร้องตรวจสอบต่อประธานวุฒิสภา ปมใช้อำนาจแทรกแซงของนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกและ รมว.กลาโหม และนายทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หากมีความสงสัยว่าคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่เปิดช่องให้ประชาชนยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงเว้นแต่ ตามมาตรา 213 ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ ซึ่งอีกช่องทางหนึ่ง หากสงสัยในคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ ประชาชนสามารถยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 231(1) ทั้งนี้ ต้องร้องขอให้ ปปช.ตรวจสอบ การขัดกันว่าด้วยผลประโยชน์เพื่อตรวจสอบ ตามมาตรา 235 วรรคหนึ่ง(1) กรณีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอีกช่องทางหนึ่งได้