
จะเรียกว่า “รังสีอำมหิต” หรือเป็นเกม “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส” ของบรรดาข้าราชการบางส่วนก็ได้ เพราะทันทีที่มีข่าวพรรคภูมิใจไทยจะมาเป็นรัฐบาล นโยบายและการตรวจสอบเรื่องสำคัญต่างๆ บางเรื่อง บางกรณี มีการเปลี่ยนทิศทางไปอย่างน่าสนใจ ทั้งๆ ที่พรรคภูมิใจไทยยังไม่ได้เข้ามารับหน้าที่เป็นรัฐบาลเลยด้วยซ้ำ
โดยพบว่า ทันทีที่การเมืองทำท่าจะเปลี่ยนขั้ว การเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง “โซนไข่แดง” ชะงักทันที ตั้งแต่คดีคลิปเสียงนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ยังไม่ตัดสิน โดยอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่มีอาการเจ็บหัวไหล่ ทำให้จับปากกาเซ็นเพิกถอนโฉนดไม่ได้ ทั้งๆที่ฝ่ายการเมืองเคยประกาศว่า “วันเดียวจบ”
เมื่อนายกฯแพทองธาร หลุดเก้าอี้ รัฐบาลเปลี่ยนขั้วจากเพื่อไทยเป็นภูมิใจไทย ไม่ปรากฏข่าวเกี่ยวกับการทำหน้าที่เพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง จากอธิบดีกรมที่ดินอีกเลย มีแต่ข่าว คุณพรพจน์ เพ็ญพาส อดีตอธิบดีกรมที่ดิน ที่ขอย้ายตัวเองพ้นตำแหน่ง ไปร่วมแสดงความยินดีกับนายกฯหนู อนุทิน ชาญวีรกูล โดยเป็นข้าราชการกลุ่มแรกๆ ที่ไปเปิดตัว
การรถไฟแห่งประเทศไทย เลื่อนนัดให้ถ้อยคำต่อดีเอสไอ แม้ต่อมาจะออกมาปฏิเสธ แต่ก็ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า เมื่อถึงวันนัดจริงๆ ได้ให้ถ้อยคำหรือข้อมูลหลักฐานเด็ดอะไรแก่ดีเอสไอ จนทำให้การยึดคืนที่ดินเขากระโดงมีความคืบหน้า
คดีฮั้ว สว. ยังไม่มีความคืบหน้าชัดเจนในฟากของ กกต. ส่วนฟากของดีเอสไอ ที่มีความพยายามเรียกสอบพยาน 1,200 ปาก ซึ่งบางส่วนจะถูกแจ้งข้อกล่าวหา และบางส่วนจะถูกกันไว้เป็นพยาน ในคดี “ฟอกเงิน - อั้งยี่” แต่ปรากฏว่า ล่าสุดมีข่าวยืนยันชัดเจนแล้วว่า พนักงานสอบสวนคดีพิเศษบางกลุ่ม บางราย แจ้งไปยังพยานปากสำคัญบางคน “เลื่อนนัดสอบ” อย่างไม่มีกำหนด
และมีข่าวพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ที่ลงพื้นที่ไปติดตามการสอบพยานกลุ่ม 1,200 ปาก ปรากฏว่าเก็บของเดินทางกลับกรม แถวๆ แจ้งวัฒนะแล้วเป็นส่วนใหญ่
รวมทั้งยัง มีข่าวว่าพนักงานสอบสวนดีเอสไอ โดยเฉพาะที่รับผิดชอบคดีฮั้ว สว. และคดีเขากระโดงใส่เกียร์ว่าง ท่ามกลางข่าวลือว่า ผู้บริหารระดับสูงของดีเอสไอที่ออกตัวแรงในช่วงที่ผ่านมา น่าจะอนาคตมืดมน
ข้าราชการน้อยใหญ่ วิ่งหาเส้นสายที่เชื่อมถึงผู้มีอำนาจในพรรคภูมิใจไทย ตั้งแต่รู้ผลโหวตเลือกนายกฯอนุทิน เพื่อขอตำแหน่งที่ตนเองหมายปอง หรือรักษาเก้าอี้ที่นั่งอยู่ให้รอดปลอดภัย
สว.จ้องตีตกร่าง รธน.แก้ 256 อ้างต้องประชามติครั้งแรกก่อน
ด้านความเคลื่อนไหวของ สว. แหล่งข่าวจากกลุ่ม “สว.ตัวตึง” ระบุว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่กำลังจะมีการเสนอโดย 3 พรรคการเมืองเป็นอย่างน้อย คือ พรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย เพื่อแก้ไขมาตรา 256 ซึ่งก็คือ “แก้วิธีแก้รัฐธรรมนูญ” นั้น กำลังเป็นเงื่อนแง่ที่ สว.อาจหยิบยกขึ้นมาพิจารณา และหาคำตอบว่า การทำประชามติสอบถามความเห็นของพี่น้องประชาชนนั้น ต้องทำในขั้นตอนไหนกันแน่
ทั้งนี้ จากการติดตามคำให้สัมภาษณ์และท่าทีของแกนนำพรรคประชาชน ต้องการถามคำถามประชามติ 2 ครั้งแรก โดยรวมเป็นครั้งเดียว คือ ประชาชนเห็นด้วยให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ และเห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 256 ที่ให้มี ส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญ หรือไม่ โดยกำหนดที่มาของ ส.ส.ร.จากการเลือกโดยอ้อม เพื่อไม่ให้ขัดกับสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความ
ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนก็เร่งรัดให้พรรคภูมิใจไทยเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 256 เข้าสู่วาระการพิจารณาของรัฐสภา และโหวตรับร่างในวาระ 1 รอไว้เลย เพื่อให้สามารถผ่านวาระ 3 ได้ ภายใน 4 เดือนก่อนยุบสภา จะได้นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมไปทำประชามติ พร้อมกับวันเลือกตั้ง เพื่อประหยัดเวลา
แต่ในความเห็น สว.บางส่วน มองว่า การแก้ไขมาตรา 256 ที่เสนอโดยพรรคประชาชนเป็นหลักนั้น มุ่งไปที่การแก้ไขเพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยมี ส.ส.ร.มายกร่าง หรือจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ การทำประชามติในเรื่่องนี้ จึงเป็นคนละเงื่อนไขกับที่ระบุไว้ในมาตรา 256 (8) ที่ให้การแก้ไขหมวด 15 ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องทำประชามติอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่สามารถทำประชามติพร้อมกันกับครั้งแรกได้ ซึ่งจะเป็นการทำประชามติเพื่อถามว่าประชาชนเห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่
เพราะการแก้ไขมาตรา 256 ในบริบทแบบนี้ ต้องไปทำประชามติครั้งแรกเสียก่อนว่า ประชาชนเห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ หากประชาชนเห็นด้วย จึงมาแก้มาตรา 256 และเมื่อร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ผ่าน 3 วาระแล้ว ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ จึงค่อยนำไปถามประชามติจากประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 256 (8)
ส่วนการทำประชามติรวบ 2 ครั้งเป็นครั้งเดียว ตามมติของศาลรัฐธรรมนูญ คือ
ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า มีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร
โดยการทำประชามติ 2 ครั้งนี้ รวมเป็นครั้งเดียวได้ จะเห็นได้ว่าเป็นคนละเรื่องกับการทำประชามติตามเงื่อนไข มาตรา 256(8) ซึ่งต้องทำอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือเนื้อหาสำคัญของรัฐธรรมนูญที่จะจัดทำใหม่เลย
แหล่งข่าวจาก “สว.ตัวตึง” สรุปว่า ความเห็นของกลุ่มตน ก็คือ หากจะให้ สว.เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 256 ต้องไปทำประชามติมาก่อนที่จะพิจารณาร่างนี้ เพราะเท่ากับเป็นการ “ริเริ่ม” จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องให้ประชาชนเห็นชอบด้วยเสียก่อน ไม่ใช่มาแก้มาตรา 256 รอไว้ แล้วไปทำประชามติ เพื่อนำความเห็นของประชาชนมารองรับในภายหลัง