
8 กันยายน 2568 แหล่งข่าวระดับสูงในศาลยุติธรรม ให้ความเห็นถึงการทำคำสั่งคดีบังคับโทษชั้น14 นายทักษิณ ชินวัตร ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่มีการไต่สวนและมีการทำคำสั่งในประเด็นเรื่องการบังคับโทษ แต่ถ้าตามหลักกฏหมายเขียนไว้ แต่เพียงว่าให้องค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประชุมทำคำพิพากษาหรือคำสั่งก่อนที่จะอ่านคำพิพากษา
โดยไม่ได้ระบุกระบวนการว่า จะต้องประชุมกันก่อนเท่าไหร่ จะเห็นว่าในการทำคำพิพากษาศาลฎีกาฯนักการเมืองส่วนใหญ่ที่ผ่านมา องค์คณะศาลฎีกาฯจะมาประชุมและลงมติทำคำพิพากษาในวันที่มีการอ่านคำพิพากษาเลย เพื่อไม่ให้ผลคำพิพากษาหลุดรั่วไปถึงคู่ความ หรือที่เรียกว่าไม่ให้มีการนำผลคำสั่งหรือคำพิพากษาไปขายเพื่อแลกผลประโยชน์ ยิ่งคดีนี้เป็นคดีใหญ่สังคมจับตา ก็เชื่อว่าจะมีการลงมติกันในวันที่ 9 ก.ย. 2568 เลย
ส่วนเรื่องการเปลี่ยนแปลงผลคำวินิจฉัยคดีนี้ เชื่อว่าไม่มีใครกล้า อย่างสมมุติว่าคดีนี้หากเห็นว่าเป็นเพียงการทำคำสั่งไม่ใช่คำพิพากษาให้ประชุมลงมติกันก่อน ก็ยังเชื่อว่าถ้ามีการลงมติทำคำสั่งไปแล้ว ก็จะไม่มีใครมาขอประชุมใหม่และกล้าเปลี่ยนมติตัวเองภายหลัง
เพราะมันจะเป็นเรื่องใหญ่ และมันไม่ใช่เรื่องที่ปกปิดได้ หากประชุมลงมติไปแล้ว มาขอประชุมใหม่คนก็ต้องรู้กัน ทุกอย่างมันมีเอกสารมีการบันทึกไว้ และไม่มีข้อเท็จจริงใหม่ที่จะมาเปลี่ยนมติเดิมที่จะทำได้ คนที่กล้าทำเชื่อว่าต้องโดนสอบสวนวินัย และมีโอกาสหมดชีวิตบนเส้นทางตุลาการ อย่างเช่นในอดีตก็เคยมีผู้พิพากษาที่มีการประชุมลงมติไปแล้ว และมาขอลงมติใหม่ในคราวหลัง ซึ่งก็โดนไล่ออกจากราชการไป
ส่วนคดีนี้มีการประชุมลงมติไปแล้วหรือไม่ ไม่มีใครบอกได้ เพราะเป็นชั้นความลับไม่ให้คำพิพากษาหรือคำสั่งรั่วไหล
แหล่งข่าวผู้พิพากษาระดับสูงอีกท่าน เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นคดีใหญ่ประชาชนให้ความสนใจและมีผลกระทบหลายด้าน เชื่อว่าจะมีการลงมติทำคำสั่งในวันที่ 9 ก.ย.2568 เลย
ส่วนที่ผ่านมาหากมีการประชุมไปแล้ว ก็คงเป็นเพียงการวางแนวในเรื่องการทำประเด็น ว่าจะต้องมีประเด็นต้องวินิจฉัยในเรื่องใดบ้าง และองค์คณะจะต้องลงมติกันกี่ประเด็นและประเด็นไหน จะยังไม่มีการลงมติ แต่ก็คงจะมองได้คร่าวๆ
ตอนนี้เชื่อว่ายังไม่มีการลงมติกัน เพราะหากลงมติไปแล้วมีโอกาสสูง ที่ผลคำสั่งจะหลุด ที่ถามว่าเชื่อหรือไม่คดีนี้จะมีการล็อบบี้ ก็ต้องบอกว่าเชื่อว่ามีการล็อบบี้ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าล็อบบี้ได้หรือไม่ ที่ผ่านมาในคดีที่มีการเมืองภาพใหญ่ เข้ามาเกี่ยวไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลอื่นๆก็มีการทำเช่นนี้มาตลอด
แต่สุดท้ายแล้วต้องอย่าลืมว่าการล็อบบี้ยิ่งตัวความ เป็นนักการเมืองไม่ได้มีแค่ฝ่ายคู่ความในคดีอย่างเดียวที่ล็อบบี้ยังมีฝ่ายอื่นๆอีก
แต่ศาลยุติธรรมเป็นองค์กรที่แข็งมากในเรื่องระบบ ถึงมีการล็อบบี้ก็ไม่ใช่ว่าผลจะเป็นไปตามนั้น
การประชุมลงมติของศาลฎีกามีระเบียบที่เข้มงวดมาก อย่างในคดีใหญ่ๆอย่างเช่นคดีจำนำข้าว มีการยึดอุปกรณ์สื่อสาร กักตัวผู้พิพากษาและเลขาฯส่วนตัวไว้ จนกว่าจะมีการลงมติเสร็จและอ่านคำพิพากษา
หรือบางคดีเอาไปกักไว้ข้ามวันข้ามคืน มีเซฟเฮาส์ให้นอนก็มี ที่ทำแบบนี้เพื่อไม่ให้ความลับรั่วเอาผลคำพิพากษาไปแลกรับผลประโยชน์ ซึ่งบรรยากาศในการประชุมคดีจะต้องคุยเป็นความเห็นทางกฎหมาย ไม่มีใครกล้าล็อบบี้มาขอให้กันในที่ประชุมแน่นอน ถ้าจะล็อบบี้ต้องไปทำกันมาก่อนแล้ว ถึงจะมาทำความเห็นเป็นธงช่วยกันในการทำคำสั่ง
แต่หากคดีนี้ หากถ้ามีการประชุมและลงมติไปแล้ว ก็เชื่อว่าจะไม่มีใครมาเปลี่ยนมติเดิมที่ลงไว้อีกแน่นอน