
9 สิงหาคม 2568 ก่อนหน้านี้แทบไม่มีคำถาม เพราะในสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกัมพูชา ประชาชนเชื่อกองทัพมากกว่ารัฐบาล ซึ่งมีปัญหาเรื่องเครดิตจากคลิปเสียง "ฮุนเซน" ของ "นายกฯ แพทองธาร"
แต่การช่วงชิงพื้นที่ยุทธภูมิที่สำคัญ กับข้อมูลที่ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย แต่โฆษกก็ตอบคำถามแบบอึกๆ อักๆ เริ่มทำให้สังคมไทยลังเลว่า ควรจะเทใช้เชื่อทหารทั้งหมดดีหรือไม่ เพราะสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ไทยแทบไม่ได้เปรียบอะไรกัมพูชาเลย
ล่าสุดรัฐบาลกำลังเปิดเกมรุกใหม่ เรียกความเชื่อมั่นกลับคืน ด้วยการบอกต่อ “ข้อมูลใหม่” ไปยังสื่อแขนงต่างๆ ว่า ข้อมูลที่บอกว่า ทหารขอเวลาก่อนหยุดยิงอีก 24-72 ชั่วโมง จะยึดทุกจุดได้แบบเบ็ดเสร็จ แต่รัฐบาลไม่ยอม จนเกิดสภาพครึ่งๆ กลางๆ อย่างที่เป็นอยู่นั้น ไม่เป็นความจริง
เพราะข้อมูลใหม่จาก “ผู้ใหญ่ในรัฐบาล” บอกเลยว่า รัฐบาลต่างหากที่ต่อเวลาให้ทหาร มากกว่าที่ทหารขอ เพราะจริงๆ แล้วฝั่งกัมพูชาอยากหยุดยิงมาก่อน 2-3 วันแล้ว แต่รัฐบาลไม่ยอม แถมดึงเวลาให้ เพื่อเปิดทางฝ่ายทหารให้ยึดพื้นที่ให้ได้มากที่สุด
กระทั่งวันที่ 28 ก.ค. ที่มีการเจรจาที่มาเลเซีย ฝ่ายทหารแจ้งเวลามา ให้หยุดยิงได้ทันที กลายเป็นฝ่ายรัฐบาลต่างหาก ที่ต่อเวลาให้ถึงเที่ยงคืน แล้วผลสุดท้ายก็อยู่ในสภาพอย่างที่เห็น
ข้อมูลจากผู้ใหญ่ในรัฐบาลยังอ้างว่า ไม่เคยไปสั่งการอะไรกองทัพ โดยเฉพาะการสั่งถอย หรือสั่งให้ยุติการบุกยึดพื้นที่ ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง 100%
ปัญหาของไทยในขณะนี้ คือ นอกจากจะยึดพื้นที่ได้ไม่เบ็ดเสร็จ ยังไม่ค่อยจะมีความพร้อมในการรับมือกับ “โดรน” ของกัมพูชา
อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง ตั้งข้อสังเกตว่า ประชุมครม.วันอังคารที่ผ่านมา รัฐบาลไทยอนุมัติการจัดหายุทโธปกรณ์ 3 โครงการใหญ่พร้อมกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เพราะ "กระแสสงคราม" จากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เป็นฐานรองรับนั่นเอง
การดำเนินการครั้งนี้ ไม่มีทางที่ฝ่ายเห็นต่างจะคัดค้านได้ เพราะ “กระแสชาตินิยม-เสนานิยม” ดำรงอยู่อย่างท่วมท้นในสังคมไทย การคัดค้านอาจกลายเป็น “ความไม่รักชาติ” ได้ไม่ยากเย็น
อาจารย์ตั้งข้อสังเกตว่า สถานการณ์สงครามชายแดนกลายเป็น ”โอกาสทอง” ของการจัดซื้ออาวุธในครั้งนี้ไปโดยปริยาย / โดยอาวุธทั้ง 3 โครงการคือ เครื่องบินรบกริพเพ่น เรือรบ และเรือดำน้ำ ซึ่งเป็นอาวุธหนักทั้งหมด
ด้านหนึ่งถือว่าสอดรับกับ “กระแสสงครามนิยม” ที่เชื่อมั่นในพลังอำนาจของอาวุธหนัก อันเป็นผลจากภาพข่าวการใช้กำลังของฝ่ายไทยที่ได้เปรียบกัมพูชา
แต่คิดในอีกมุมหนึ่งของภัยคุกคามทางทหาร กัมพูชาเป็นประเทศที่ไม่มีกำลังรบทางอากาศ คือ ไม่มีเครื่องบินขับไล่ มีเพียงเครื่องบินฝึกและขนส่งเท่านั้น กองทัพเรือกัมพูชามีเพียงเรือตรวจการณ์ชายฝั่งไม่กี่ลำ จึงไม่มีสถานะเป็นภัยคุกคามทางทะเลของไทยได้เลย
กองทัพบกกัมพูชาแม้จะมีรถถังราวๆ 200 คัน แต่เป็นรถถังรุ่นเก่าของโซเวียต ส่วนกองทัพบกไทยมีรถถังหลักราว 394 คัน และเป็นรถถังรุ่นใหม่กว่า
แต่ในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ ฝ่ายกัมพูชามีการนำโดรนเข้ามาเป็นอุปกรณ์สงคราม แม้ไม่ได้ใช้ในการเป็นโดรนโจมตี แต่ใช้ในลักษณะของโดรนลาดตระเวนและถ่ายภาพ
ฉะนั้นปัญหาภัยคุกคามจากระบบอาวุธของกัมพูชา จึงน่าจะเป็นการโจมตีด้วยจรวดหลายลำกล้อง BM21 และยุทโธปกรณ์ประเภทเดียวกัน ซึ่งมีถึง 74 ระบบ (หมายถึง 74 ชุด) โดยการโจมตีเป้าหมายจะแม่นยำขึ้นเมื่อใช้ข้อมูลจากโดรนลาดตระเวนถ่ายภาพ
อาจารย์สุรชาติ สรุปว่า น่าเสียดายที่ยังไม่เห็นถึงทิศทางของการเตรียมรับสงครามยุคใหม่ เช่น ในกรณีของ “สงครามโดรน” เพราะต้องยอมรับกันแล้วว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้ เป็น “สงครามใหญ่ครั้งแรกในศตวรรษที่ 21” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้สงครามชายแดนจะมีธรรมชาติเป็น “สงครามจำกัด” ในตัวเอง แต่การสู้รบโดยใช้โดรน ก็สะท้อนให้เห็นถึง “ความใหม่” สำหรับมิติของสงครามในภูมิภาคได้อย่างชัดเจน
แต่ดูเหมือนไทยจะยังไม่เฉลียวใจ และเร่งรับมือ