
9 สิงหาคม 2568 หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาของความโล่งใจที่ผลประชุม GBC ระหว่างไทย-กัมพูชา มีข้อตกลงหยุดยิงออกมาค่อนข้าง “เข้าทางไทย”
1.ข้อตกลง 13 ข้อ บางข้อดูจะมีปัญหาในทางปฏิบัติ ไม่มีความรัดกุม และไม่ได้มีมาตรการรองรับหากมีปัญหาเกิดขึ้น หรือมาตรการที่จะป้องกันปัญหา
เช่น ในข้อตกลงข้อ 4 ที่บอกว่า “ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.68”
คำถามคือ ในเมื่อทั้งสองฝ่ายมีประเด็นพิพาทเรื่องดินแดน ซึ่งรวมถึงเขตน่านฟ้า แล้วใครจะเป็นผู้ชี้ขาดว่า กิจกรรมทางทหารของฝ่ายหนึ่ง ล้ำเข้าไปในดินแดนของฝ่ายหนึ่ง เพราะฝ่ายที่ล้ำ ก็จะอ้างว่าบริเวณนั้นเป็นเขตอธิปไตยของตน
2.การอ้างสถานะการหยุดยิง วันที่ 28 ก.ค.2568 ยิ่งน่าคิดว่า ใครคือฝ่ายได้เปรียบกันแน่ อย่างภาพล่าสุดที่ปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีทหารกัมพูชาอยู่ในปราสาท ทั้งที่ปราสาทหลังนี้อยู่ในเขตไทย ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ก่อนที่กัมพูชาจะประกาศเอกราชเป็นประเทศเสียอีก แบบนี้ถือว่ากัมพูชาผิดข้อตกลงอยู่ก่อนแล้วหรือไม่ หรือถ้าตีความอีกแบบ ทหารไทยก็ไปไล่ทหารกัมพูชาไม่ได้ใช่หรือเปล่า เพราะยึดสถานะการหยุดยิง วันที่ 28 ก.ค.2568
ปัญหาความไม่ชัดเจนเหล่านี้ สามารถนำมาเป็นชนวนขัดแย้ง ล้มข้อตกลงได้ทุกเมื่อ
ยิ่งมีข่าว นายยุก ชัง (Youk Chhang) ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลกัมพูชา (Documentation Center of Cambodia) เรียกร้องให้ทางการไทยสอบสวนพฤติกรรมของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 โดยอ้างว่าจากหลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันมีข้อกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมการจัดการกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่ามีส่วนในการสังหารทหารกัมพูชาที่ไม่มีอาวุธ และทรมานเชลยศึกกัมพูชา แสดงเจตนาที่จะยึดกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา
จากกรณีนี้สามารถตีความได้หรือไม่ว่า นี่คือปฏิบัติการ “กวนน้ำให้ขุ่น” เพื่อเตรียมล้มประชุม RBC ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพราะประธานร่วม ที่จะเข้าประชุม ก็คือแม่ทัพภาค 2 ของไทย
นี่อาจเป็นปฏิบัติการขั้นต้น เพื่อยั่วยุกดดันไทยเท่านั้น เพราะต้องไม่ลืมว่า ศึกครั้งนี้ไทยมีเดิมพันสูงกว่าทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุน เพราะไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า มีประชากรมากกว่า ฉะนั้นยิ่งรบยืดเยื้อ อึมครึมต่อเนื่อง ยิ่งทำลายเศรษฐกิจฝั่งไทยหนักกว่ากัมพูชา