svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เจาะเฟซบุ๊ก “ฮุนเซน” เครื่องมือเล่นเกมปั่นกระแสไทย-กัมพูชา

เจาะเฟซบุ๊ก “ฮุนเซน” ผู้นำจิตวิญญาณกัมพูชาสุดเขี้ยว ใช้โซเชียลเป็นเครื่องมือเล่นเกมปั่นกระแส เร่งอุณหภูมิ "ไทย-กัมพูชา" ให้ระอุ อย่างมียุทธศาสตร์

7 มิถุนายน 2568 กำลัง “มาคุ” อย่างเต็มขั้น สำหรับสถานการณ์ข้อพิพาทระหว่าง "ไทย-กัมพูชา" ที่แม้ฝั่งไทยโดยเฉพาะจากฝ่ายบริหารประเทศ จะเน้นย้ำว่า ต้องการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี

แต่ภาพที่ปรากฏจากฝั่งกัมพูชาคือ การปฏิเสธ รวมถึงมีการเสริมกำลังตามแนวชายแดนพร้อมอาวุธหนัก

หนึ่งในปัญหาสำคัญ ที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลไทยในขณะนี้ ไม่ใช้การปฏิเสธท่าทีที่ประเทศไทยเสนอของกัมพูชา

แต่เป็นปัญหาเรื่องการสื่อสารกับประชาชนคนไทย ที่รัฐบาลไม่สามารถสื่อสาร และไม่สามารถบริหารอารมณ์ของผู้คนได้ในสถานการณ์วิกฤติไทย-กัมพูชา

แตกต่างจากผู้นำฝ่ายตรงข้าม ที่ใช้สงครามข่าวสารและจิตวิทยายั่วยุอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะจากผู้นำทางจิตวิญญาณอย่าง “ฮุนเซน” สมเด็จฮุนเซน อดีตนายกฯ กัมพูชา 

ที่มีการใช้สื่อโซเชียลเชี่ยวชาญ ทั้งเป็นช่องทางสื่อสารทางการเมือง และใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นเกม และข่มขู่ศัตรูทางการเมืองทุกฝ่าย รวมทั้งไทย 
“ฮุนเซน” สมเด็จฮุนเซน อดีตนายกฯ กัมพูชา
 

กรณีนี้ อาจารย์พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร พาไปสำรวจ “เฟซบุ๊ก” ของ สมเด็จฮุนเซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ผู้นี้ เพราะถือว่า มีความน่าสนใจและน่าศึกษาเป็นอย่างมาก แม้ตอนนี้ "ฮุนเซน" จะบล็อกไม่ให้คนไทยเข้าไปส่องแล้วก็ตาม

เพราะอดีตผู้นำกัมพูชา ที่แม้เป็นคนยุค “เบบีบูมเมอร์” แต่กลับเชี่ยวชาญ ใช้อาวุธโซเชียลได้ชนิดไม่แพ้คนรุ่นใหม่ จนนำความได้เปรียบทางการเมือง และเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ผ่านสื่อราคาถูกในมือได้อย่างง่ายๆ
อาจารย์พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร

 

โพสต์ล่อเป้าของ “ฮุนเซน” ย่ำหัวใจคนไทย
 

แม้ว่าการสู้รบจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่สงครามข่าวสารและความตึงเครียดทางการเมืองกลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลังจากการปะทะ สมเด็จ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา พ่อของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก บัญชีชื่อ Samdech Hun Sen of Cambodia โดยยืนยันจะไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่ “สามเหลี่ยมมรกต” เนื่องจากเป็นดินแดนของกัมพูชา พร้อมท้าทางการไทยให้ไปตัดสินความถูกต้องกันในศาลโลก

นอกจากนี้ ยังมีการปิดกั้นไม่ให้คนไทยเห็นข้อความที่เขาโพสต์ โดยอ้างว่า “ชาวไทยหัวรุนแรงบางคนเข้ามายังเฟซบุ๊กของผม แล้วแสดงความเห็นโจมตีและดูหมิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลกับประชาชนของกัมพูชาและไทย และเพิ่มความตึงเครียดที่อาจนำไปสู่การปะทะกันทางทหารระหว่างทั้งสองประเทศ”
เจาะเฟซบุ๊ก “ฮุนเซน” เครื่องมือเล่นเกมปั่นกระแสไทย-กัมพูชา

โพสต์ของ ฮุน เซน จึงเร่งอุณหภูมิของอารมณ์ผู้คนให้ตึงเครียดขึ้นไปอีก และข้อความที่แสดงความแข็งกร้าวของ ฮุน เซ็น บนเฟซบุ๊ก จึงขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับท่าทีของรัฐบาลไทย และการสื่อสารต่อสาธารณะด้วยการตอบคำถามที่ไม่เฉียบขาดและกำกวม ของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยิ่งสร้างความสับสนให้กับคนไทย จนไม่อาจอดทนต่อความไม่ชัดเจนของรัฐบาลได้ จนต้องไประบายออกอย่างไม่ยั้งมือบนโซเชียลมีเดียแทน

การปล่อยให้เกิดช่องหว่างระหว่างความเข้าใจของคนไทย กับการออกมาแสดงท่าทีของรัฐบาลไทย ต่อกรณีการปะทะนานจนเกินไป จึงยิ่งเติมอารมณ์ของความไม่พอใจของผู้คนให้ทวีมากยิ่งขึ้นไปอีกจนกู่ไม่กลับ สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่าง ข้อมูลข่าวสารที่คนไทยได้รับ กับสิ่งที่รัฐบาลพูด จนนำไปสู่วิกฤตศรัทธา และลดทอนความเชื่อมั่นของรัฐบาล และลามไปถึงนักการเมืองของไทย และพิสูจน์ให้เห็นถึงการศักยภาพ ในการสื่อสารของผู้นำของประเทศในยามวิกฤติได้เป็นอย่างดี
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

สิ่งที่น่าตำหนิต่อการกระทำของรัฐบาลก็คือ ขณะที่ผู้คนกำลังอยู่ในอารมณ์ของความตึงเครียดเกี่ยวกับปัญหาชายแดน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย รัฐบาลกลับใช้โอกาสในการแถลงข่าวโครงการ “Thailand Entertainment Complex : มหานครแห่งประสบการณ์ระดับโลก เพื่อคนไทยทุกคน” โดยชี้ให้เห็นถึงโอกาสของการท่องเที่ยวไทย และอธิบายถึงเหตุผลว่า ทำไมรัฐบาลต้องทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นการแถลงที่แสดงถึงความไม่รู้จักกาลเทศะ ทั้งที่จะเว้นไปก่อนค่อยมาแถลงวันหลังก็ไม่ได้เสียหายอะไร
 

ผู้นำโลกกับโซเชียลมีเดีย
 

ฮุน เซน ก็เหมือนกับผู้นำโลกคนอื่นๆ ที่มักใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับผู้คน เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล การแสดงจุดยืนทางการเมือง การปรากฏตัวในกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการโฆษณาชวนเชื่อ
 

เพราะโซเชียลมีเดียเป็นกระบอกเสียงที่เข้าถึงผู้คนได้ง่าย รวดเร็วกว้างขวาง และสามารถสื่อสารได้ตลอดเวลาตามที่ต้องการ

ที่สำคัญคือทำให้คนทั้งโลกได้รับรู้ถึงสิ่งที่ตัวเองได้สื่อสารออกไป

 

เจาะเฟซบุ๊ก “ฮุนเซน” เครื่องมือเล่นเกมปั่นกระแสไทย-กัมพูชา

X เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับนิยมมากที่สุด ประเทศต่างๆ 190 ประเทศต่างใช้แพลตฟอร์ม X ในการสื่อสารในนามของรัฐบาล แต่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เพราะรัฐบาลและผู้นำมากถึง 187 ประเทศ แสดงตัวตนบนเฟซบุ๊ก

178 ประเทศใช้อินสตาแกรม 173 ประเทศใช้ YouTube และ 163 ประเทศใช้ LinkedIn

TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังได้รับความนิยม โดยมีประเทศและผู้นำมากถึง 108 ประเทศใช้ TikTok ในการสื่อสาร

ในขณะที่แพลตฟอร์มน้องใหม่ Threads จาก Meta ก็มีการใช้งานมากถึง 87 ประเทศ

อย่างไรก็ตามแต่ แพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลต่อคนอ่านมากที่สุด คงยังเป็นเฟซบุ๊ก จึงไม่แปลกที่ผู้นำหลายต่อหลายประเทศ จึงเลือกใช้เฟซบุ๊กเพื่อการสื่อสารถึงคนส่วนใหญ่ รวมทั้ง "ฮุน เซน" เองด้วย
 

เฟซบุ๊กของฮุนเซน
 

ฮุนเซน มีบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Samdech Hun Sen of Cambodia เขาเปิดบัญชีเฟซบุ๊กมาตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งครบสิบปีพอดี โดยมี ดวง ดารา (Duong Dara) เป็นผู้ดูแลบัญชีเฟซบุ๊ก และให้คำแนะนำการใช้โซเชียลมีเดียให้กับเขา

ฮุนเซน มีผู้ติดตามบนเฟซบุ๊กราว 14 ล้านคน ท่ามกลางข้อครหาว่า ผู้ติดตามส่วนใหญ่ของเขาเป็น “บัญชีผี” (Ghost account) ที่ถูกซื้อมา ซึ่งเขาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง

ฮุนเซน มักใช้เฟซบุ๊กเพื่อแสดงภาพกิจกรรมครอบครัว การถ่ายทอดสดการพูดของเขาในโอกาสต่างๆ รวมทั้งใช้เฟซบุ๊กเพื่อการข่มขู่ศัตรูทางการเมืองของเขาเองด้วย ซึ่งไม่ต่างจากพฤติกรรมของผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จคนอื่นๆ ที่มักใช้วิธีเดียวกัน
เจาะเฟซบุ๊ก “ฮุนเซน” เครื่องมือเล่นเกมปั่นกระแสไทย-กัมพูชา

ความก้าวร้าวของเขาทำให้บัญชีเฟซบุ๊กของเขาเกือบถูกปิด เพราะครั้งหนึ่งเขาถูกบอร์ดกำกับดูแลของเฟซบุ๊กตักเตือนว่า เขาใช้คำพูดที่มีเนื้อหาอาจนำไปสู่ความรุนแรง ในวิดีโอที่เขาปราศรัยโจมตีนักการเมือง  ฝ่ ายค้านอย่างรุนแรง ที่กล่าวหาว่าพรรคของเขาขโมยคะแนนเสียงเลือกตั้งว่า

“พวกเขาอาจต้องเผชิญกับการดำเนินคดีทางกฎหมายหรือถูกตีด้วยไม้ หากกล่าวหาว่าพรรครัฐบาลของผมขโมยคะแนนเสียงในการเลือกตั้งระดับชาติในช่วงปลายปีนี้” 

บัญชีของ ฮุนเซน ถูกเสนอจากบอร์ดกำกับดูแลที่ให้ระงับบัญชีเป็นเวลา 6 เดือน จากพฤติกรรมก้าวร้าวทางภาษาของฮุนเซน ที่ใช้โซเชียลมีเดียในการกำราบคู่แข่งทางการเมืองที่เรียกว่า การใช้อำนาจทางดิจิทัล (Digital authorization) บนเฟซบุ๊ก

ทันทีที่บอร์ดกำกับดูแลประกาศความเห็นสู่สาธารณะ ฮุนเซน ก็ปิดบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองประท้วงในทันที และขู่ด้วยว่า จะปิดบริการของเฟซบุ๊กในกัมพูชา

อย่างไรก็ตามในภายหลัง บริษัท Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ปัดตกข้อเสนอของบอร์ดกำกับดูแลของเฟซบุ๊ก โดยไม่ปิดบัญชีของ ฮุนเซน ท่ามกลางข้อกังขาของนักกฎหมายและนักสิทธิมนุษยชน โดยพวกเขามองว่า การตัดสินใจและคำอธิบายของ บริษัท Meta ที่ไม่ปิดบัญชีเฟซบุ๊กของ ฮุนเซน คือความล้มเหลวในการเผชิญหน้า กับบทบาทของแพลตฟอร์มของตนต่อความรุนแรงทางการเมือง และดูเหมือนว่า ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่าคุณค่าทางประชาธิปไตย ความปลอดภัยสาธารณะ และการพูดคุยที่ไม่ใช้ความรุนแรงในที่สาธารณะ

หลังปิดบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองไปเพียง 3 สัปดาห์ ฮุนเซน ก็หวนกลับมาใช้เฟซบุ๊กดังเดิม หลังจากหันไปใช้  “เทเลแกรม” ในการสื่อสารกับผู้คน และมีผู้ติดตามเพียง 100,000 คนเท่านั้น ซึ่งต่างจากจำนวนผู้ติดตามบนเฟซบุ๊กอย่างลิบลับ

ฮุนเซน และผู้นำคนอื่นๆ ทั้งโลกรู้ดีว่า โซเชียลมีเดียคือสื่อที่เข้าถึงผู้คนที่มีประสิทธิภาพมากกว่าสื่อใดๆ ในยุคนี้ และการเลือกใช้เฟซบุ๊ก คือการเข้าถึงผู้คนได้มากที่สุด เขาจึงต้องหันกลับมาหาเฟซบุ๊กโดยไม่มีทางเลือก แม้ว่าจะเคยข่มขู่จะปิดเฟซบุ๊กในกัมพูชามาแล้วก็ตาม
 

ฮุนเซน ส่งสัญญาณอะไรบนเฟซบุ๊ก
 

การโพสต์เฟซบุ๊กของฮุนเซน กลางดึกของวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีนัยสำคัญสะท้อนให้เห็นว่า

- เขาไม่รามือเรื่องพื้นที่ชายแดน ซึ่งเขามุ่งมั่นมาตลอดว่าบางส่วนเป็นของกัมพูชา

- เขาใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวทีฟ้องชาวโลกว่าเขาคือผู้ถูกรุกราน

- เขาใช้โซเชียลมีเดียข่มขู่ประเทศไทยว่า จะนำโมเดลเขาพระวิหารที่เคยใช้ได้ผลเมื่อหกสิบกว่าปีก่อน กลับมาใช้อีก

- เขาใช้โซเชียลมีเดียปลุกกระแสความรักชาติแก่คนกัมพูชา แต่ก็ปลุกกระแสความรักชาติแก่คนไทย และสร้างความเกลียดชังซึ่งกันในเวลาเดียวกัน

- เขาใช้พฤติกรรมก้าวร้าวบนโซเชียลมีเดียแบบเดิมที่เคยใช้กับคู่แข่งทางการเมืองของเขาในการข่มขู่ประเทศไทย เสมือนตัวเองถือไพ่เหนือกว่า

-เขาแสดงถึงความมีอำนาจเต็มของตัวเองในการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในกัมพูชาได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม

-โพสต์ของเขาแสดงนัยว่าเขาไม่เคยมองประเทศไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดี

โพสต์ของฮุนเซน เป็นการแสดงออกที่ไม่ได้แสดงพลังของตัวเขาเองธรรมดาๆ ท่านั้น แต่เป็นข้อความที่มีการเตรียมการมาอย่างดี เพื่อหวังผลทางการเมืองทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ และใช้ภาษาล่อเป้าที่กระตุ้นอารมณ์ (Emotive language)ของคนทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นเหมือนข้อความที่บังคับให้คนอ่านมีอารมณ์ที่จะต้องตอบโต้ในทันที
เจาะเฟซบุ๊ก “ฮุนเซน” เครื่องมือเล่นเกมปั่นกระแสไทย-กัมพูชา

จากการศึกษาเกี่ยวกับการแพร่กระจายของคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียพบว่า หากมีการใส่คำพูดเชิงศีลธรรม (Moral) หรือคำพูดที่เกี่ยวกับอารมณ์ (Emotion) เข้าไปในข้อความที่โพสต์บนทวิตเตอร์ จะทำให้ไวรัลของคอนเทนต์นั้นเพิ่มขึ้น 17 เปอร์เซ็นต์

ต่อคำโพสต์ของฮุนเซน บนเฟซบุ๊กก็ไม่ต่างกัน เพราะเขาใช้ภาษาล่อเป้า ที่ทำให้ทั้งคนไทยและคนกัมพูชา ซึ่งมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องเข้าไปอ่าน รวมทั้งแสดงความเห็นทั้งสนับสนุนและโต้ตอบอย่างดุเดือดจน กระทั่งฝั่งกัมพูชาต้องมีการปิดกั้นไม่ให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่อยู่ในประเทศไทยได้เห็นโพสต์นั้นอีกต่อไป

ข้อความที่ปรากฏบนโซเชียลมีเดียของฮุนเซน และผู้นำประเทศคนอื่นๆ มักทำให้เกิดคำถามว่า ข้อความเหล่านั้นเป็นจริงเป็นจังและเชื่อมั่นได้มากน้อยเพียงใด

จากการศึกษาพบว่า คนทั่วไปมักยอมรับว่า ข้อความที่ผู้นำประเทศต่างๆ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย มักเป็นสัญญาณทำนองเดียวกับแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ (Official statement) ของประเทศนั้นๆ การโพสต์ต่างๆของผู้นำประเทศจึงไม่ใช่ข้อความเล่นๆ ที่ควรมองข้าม

ข้อความบนเฟซบุ๊กของฮุนเซนก็ไม่ต่างกัน เพราะเพียง 4 วันจากโพสต์แรกของเขาบนเฟซบุ๊ก เขาได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกครั้ง เพื่อยืนยันคำพูดในโพสต์ก่อนหน้าของเขาว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภาของกัมพูชามีมติเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยื่นข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชากับประเทศไทยต่อศาลโลก ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า ข้อความบนเฟซบุ๊กของฮุนเซนกับมติสภาฯ และแถลงการณ์ที่เป็นทางการของกัมพูชาเป็นไปในทางเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน
เจาะเฟซบุ๊ก “ฮุนเซน” เครื่องมือเล่นเกมปั่นกระแสไทย-กัมพูชา

การโพสต์ข้อความของผู้นำประเทศต่างๆ บนโซเชียลมีเดียมักชี้นำผู้คนไปในสองแนวทางเสมอ ผู้นำบางคนใช้โซเชียลมีเดีย โพสต์ข้อความเพื่อให้เหตุการณ์บรรเทาความตึงเครียดและลดความขัดแย้งลง ในขณะที่ผู้นำบางคนใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อโพสต์ข้อความที่เพิ่มระดับความขัดแย้งให้มากยิ่งขึ้น และมักนำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้นำของประเทศนั้นๆ ว่า ตั้งใจจะนำพาประเทศและอารมณ์ของผู้คนไปในทิศทางใด

ข้อความบนเฟซบุ๊กของฮุนเซน ที่ปรากฎต่อสายตาคนไทยและชาวโลก พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาเป็นผู้นำประเภทหลัง ซึ่งเลือกที่จะไม่ใช้แนวทางที่นำไปสู่ความสันติ แต่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับประเทศไทยตลอดเวลา