21 พฤษภาคม 2568 นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เดินทางมาที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคภูมิใจไทย เนื่องด้วยคดีนี้มีพยานหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มีการตรวจสอบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ กกต.ว่ามีการกระทำอันฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน การได้มาซึ่งวุฒิสภาไม่ใช่วิถีทางประชาธิปไตย เป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยมิชอบและเป็นปฏิปักษ์
ยกตัวอย่างระบบการเลือก สว. ที่มีการออกแบบให้ได้คนดี คนเด่น คนดัง คนที่มีองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญที่ยอมรับของสังคม จึงกำหนดไม่ให้ประชาชนเลือก และให้การเลือกมีความซับซ้อน เนื่องจากวุฒิสภามีหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระ หากได้คนมาจากพรรคการเมือง องค์กรอิสระก็ได้คนที่ไม่ถูกต้อง
เช่นเดียวกับ การพิจารณาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หากรัฐบาลทำอะไรที่ไม่ชอบ ศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจในการพิจารณา ทั้งนี้หากคนของศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช.และ กกต.เป็นของพรรคการเมือง ก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ซึ่งถือเป็นการทำลายล้าง ทำให้เกิดความเสื่อมเสียหายต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นายณฐพร ย้ำว่าพยานหลักฐานเป็นพยานหลักฐานทางราชการ การได้มาซึ่ง สว.มีการกระทำผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2562 มาตรา 76 ระบุชัดเจนว่า กรณีที่พรรคการเมือง ผู้บริหารพรรคการเมือง นักการเมืองไม่ว่าตำแหน่งใดก็ตาม กระทำการเพื่อให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมจะถือว่ามีความผิด
แต่ละประเด็นที่ตนเองมาร้องในวันนี้ กกต.มีสำนวนในมืออยู่แล้ว เป็นคนชี้ความผิด ฮั้วเลือก สว. ว่า สว.138 คน และ สว.สำรองอีก 40 คน เป็นคนของพรรคใหญ่ มีเส้นทางการเงิน มีการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ มีหลักฐานเป็นคลิปเสียงครบทุกอย่าง จึงมั่นใจว่า ตามสำนวนการสอบสวนแล้วไม่น่าจะมีปัญหา
ส่วนการที่ไม่รอให้ กกต.หรือ DSI สอบเรื่องฮั้ว สว.ให้สิ้นกระแสความ จะเป็นการดิสเครดิตทางการเมืองหรือไม่ นายณฐพร กล่าวว่า อย่าลืม สส.ชุดนี้มีความสำคัญที่จะให้ความเห็นชอบกับองค์กรอิสระ สว.เข้ามารับตำแหน่งประมาณ 1 ปี ให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระที่ไม่เป็นกลางทางการเมือง เช่น กรณีของผู้ตรวจการแผ่นดิน และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบ
สว. ชุดนี้ยึดอำนาจหน้าที่ทั้งประธาน รองประธานคณะกรรมาธิการ 20 คณะ จาก 21 คณะ ทั้งที่คณะกรรมาธิการมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานในด้านต่าง ๆ กลายเป็นว่า เสียขาไป อย่างไรก็ตามตนเคยยื่นร้องจริยธรรม นักการเมืองดัง ไว้เกือบ 1 ปีแล้ว แต่เรื่องก็ยังไม่คืบหน้า ดังนั้น สว.ชุดนี้ควรสำนึกตนเอง ไม่ควรเห็นชอบองค์กรอิสระ หากศาลตัดสินว่าไม่ผิด ก็จะเป็นความใสสะอาด ความสง่างาม และเกียรติยศของตนเอง
นายณฐพร ยังกล่าวถึง กรณีที่พรรคภูมิใจไทยจะฟ้องร้องตนเองด้วยว่า ท่านเป็นคนของประชาชน เป็นรองนายกรัฐมนตรี รับอาสามาทำหน้าที่บริหารประเทศ ท่านควรจะต้องรับฟังความคิดเห็นและข้อกล่าวหาของประชาชน ไม่ใช่มาตรวจสอบแล้วท่านก็จะฟ้อง การฟ้องร้องควรจะรอให้คดียุติก่อน อะไรที่เท็จหรือไม่จริงก็ต้องดำเนินการ ไม่ใช่ว่าตรวจสอบแล้วอะไร ๆ ก็จะฟ้อง ถือเป็นนักเลงหัวไม้มากกว่า
ที่นายอนุทิน บอกว่าไร้สาระ ท่านเองควรจะคำนึงถึงบทบาทของตนเองว่าทำหน้าที่รับใช้ประชาชน เป็นรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่มีหน้าที่ให้ประชาชนตรวจสอบได้ ถ้าตรวจสอบไม่ได้ จะอย่างไรก็ได้หรือ เช่น กรณีที่ดินเขากระโดง ประเทศไทยจะอยู่อย่างไร หากไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน
ตนเองมีรายชื่อทั้งหมดว่า ใครเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ใครเป็นเจ๊ใหญ่ มีหัวหน้าระดับจังหวัด หากต้องการ สว.เพิ่มจากจังหวัดละ 2 คน ต้องมีการจ่ายหัวละ 2-7 ล้านบาท ส่วนนี้ปรากฏอยู่ในสำนวนสอบสวนของ DSI และ กกต.แล้ว รวมถึงเส้นทางการเงินด้วย
สิ่งที่ตนเองห่วงที่สุด คือ กลัวอยู่ 2 คนที่จะทำให้กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนไป คนหนึ่ง คือ พลเอก ส.และ นาย ส. มีอำนาจสั่งองค์กรอิสระทุกองค์กร ตนเองจะแถลงข่าวอีกครั้งว่ามนุษย์ 2 ตนเป็นใคร ทำอะไร ถึงเวลาแล้วที่เราต้องช่วยกันทำให้ประเทศชาติ ปราศจากนักการเมืองและนักลงทุนชั่ว ๆ ฝากถึง 2 ส. อย่าทำให้ประเทศชาติเสียหายไปมากกว่านี้ เนื่องจากกระทบกระเทือนถึงสถาบัน
เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะเป็นนิติสงครามทางการเมือง ระหว่างสีแดงหรือสีน้ำเงินหรือไม่ นายณฐพร ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่สนิทกับนายเนวิน ชิดชอบ นายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายทักษิณ ชินวัตร ตนเองไม่ใช่สีใดทั้งสิ้น เป็นสีของประชาชน
ทั้งนี้ภายหลังจากการยื่นเอกสารเสร็จสิ้น นายณฐพร ยืนยันว่าบุคคลตัวย่อ ส.นั้นไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นนักธุรกิจ ส่วนชื่ออีกคนเป็นบิ๊กเนม