svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

“นายใหญ่” ขยี้การศึกษาเด็กไทย ขี่แพะไล่ “รมต.ชิดชอบ”

“นายใหญ่” ขยี้การศึกษาเด็กไทย ขี่แพะไล่ “รมต.ชิดชอบ” ฟันธง “ระบบของเราผิดพลาด กระทรวงศึกษาธิการใหญ่เกินไป ถึงเวลาต้องปรับใหญ่เพื่อลูกหลาน”

26 มกราคม 2568 อย่างที่ทราบกันดีว่า การหาเสียง นายก อบจ.ของ อดีตนายกฯทักษิณ ไม่ได้มีเป้าหมายแค่การเลือกตั้งท้องถิ่น แต่หวังกินยาวไปถึงการเลือกตั้งระดับชาติ ซึ่งคาดว่าจะมีการเลือกตั้ง สส.ในปี 2570 

 

สนามเลือกตั้งนายก อบจ.ที่ศรีสะเกษก็เช่นกัน นอกจาก “นายใหญ่” หวังชำระแค้นพรรคภูมิใจไทย ด้วยการเปิดยุทธการ “ไล่หนูตีงูเห่าภาค 2 โดยจองเก้าอี้ สส.ต่อจากเก้าอี้นายก อบจ. แบบยกจังหวัด

 

เท่านั้นยังไม่พอ ช่วงหนึ่งของการปราศรัยยังกระแทกไปถึงกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของพรรคภูมิใจไทยด้วย 

แม้คุณทักษิณจะพูดถึงปัญหาชีวิตของครู ซึ่งส่งผลต่อการเรียนการสอน โดยเฉพาะภาระหนี้ และระบบการศึกษาไทยที่เปิดให้เด็กใช้ความคิดน้อยเกินไป แต่บทสรุปสุดท้ายก็ฟันธงว่า

 

“ระบบของเราผิดพลาด กระทรวงศึกษาธิการใหญ่เกินไป ถึงเวลาต้องปรับใหญ่เพื่อลูกหลาน” 

พูดแบบนี้ มองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากการตำหนิทางอ้อมไปถึงรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ว่าไม่แก้ปัญหาอะไรเลย หรือทำอยู่แต่ยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งโครงสร้างกระทรวง และระบบการศึกษา ตลอดจนหนี้สินครู 

 

 

 

 

ที่น่าสนใจก็คือ ต้องไม่ลืมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ นามสกุล “ชิดชอบ” นั่นก็คือ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ น้องชายของ “ครูใหญ่ ค่ายสีน้ำเงิน” นั่นเอง 

 

ที่ผ่านมามีข่าวกระเซ็นกระสายมาตลอดว่า “นายใหญ่” ยังไม่ลืมปฏิบัติการ “หักหลัง” เมื่อครั้ง “กลุ่มเพื่อนเนวิน” พลิกขั้วไปสนับสนุน คุณอภิสิทธิ์​ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2551 จนทำให้พรรคพลังประชาชนที่ชนะเลือกตั้งมา และเป็นรัฐบาลอยู่ดีๆ ต้องกลายไปเป็นฝ่ายค้าน

 

แม้ “นายใหญ่” จะโทรทางไกลจากต่างประเทศ พยายามขอเคลียร์ “ครูใหญ่” แต่ก็เจอวาทกรรมที่ทำให้ฝันร้าย “มันจบแล้วครับนาย” อันลือลั่น 

 

 

 

 

ข่าวจากหลายวงสนทนาในช่วงที่ผ่านมา ยืนยันตรงกันว่า “นายใหญ่” ยังมีความคิด “เอาคืนครูใหญ่” และ “พรรคภูมิใจไทย” ตลอดเวลา และหนึ่งในวิธีการที่จะดำเนินการได้ คือ การ ปรับครม.​ซึ่งเป็นอำนาจของพรรคแกนนำ และกระทรวงที่จ้องตาเป็นมัน ก็คือ กระทรวงศึกษาธิการ ที่มีรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงนามสกุล “ชิดชอบ” จึงทำให้น่าสนใจเป็นพิเศษ

 

นอกจากนั้นยังมีเป้าหมายเข้าไปรื้อระบบการศึกษา เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในรูปแบบใหม่ๆ ไม่ให้ตกเทรนด์โลก ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงศึกษาฯ ถูกมองว่าเป็น “กระทรวงล้าหลัง” แทนที่จะเป็น “กระทรวงชั้นนำ” ลำดับต้นๆ ของประเทศ 

 

 

 

 

 

จับตาส่งซิก “ซักฟอกตำราเรียนพันล้าน” 

 

 

 

วิธีการที่จะปรับ ครม.ได้ ก็คือต้อง “หาเหตุ” ให้ได้เสียก่อน 

 

เหตุแรก - หลุดจากปาก “นายใหญ่” แล้ว บนเวทีหาเสียงนายก อบจ.ศรีสะเกษ 

 

เหตุที่สอง - ให้จับตาการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน แว่วว่ามีชื่อกระทรวงศึกษาฯ อยู่ในลิสต์ด้วย 

 

 

 

 

ข่าวจากวงสนทนา “วงในพรรคเพื่อไทย” มีการส่งสัญญาณไฟเขียวให้พรรคประชาชนยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ โดยหนึ่งในประเด็นที่ยื่นซักฟอกได้แน่ๆ คือ โครงการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้า สกสค. หรือ “องค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา” ซึ่งใช้งบปีละราวๆ 1,000 ล้านบาท แต่มีปัญหาเรื่อง TOR หรือเงื่อนไขการประกวดราคาที่ส่อผิดกฎหมายหลายครั้ง 

 

 

 

 

แม้ TOR ปีล่าสุด ในโครงการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ งบประมาณ 1 พันล้านบาทเศษ ซึ่งถูกโรงพิมพ์เอกชนฟ้องศาลปกครอง และยื่นให้ทุเลาการบังคับใช้ TOR เนื่องจากกำหนดเงื่อนไขการประมูลที่ถูกมองว่ากีดกันเอกชนบางรายอย่างไม่เป็นธรรมนั้น ล่าสุดศาลปกครองมีคำสั่งออกมาแล้วว่า จะไม่มีการทุเลาการบังคับใช้ TOR ซึ่งถือว่าองค์การค้าของ สกสค. ชนะในยกแรก และเดินหน้าเปิดซองราคาได้ตามกำหนดเดิม คือ 28 มกราคมนี้ก็ตาม 

 

 

 

 

แต่ต้องไม่ลืมว่า TOR ของปีการศึกษา 2566 และ 2567 ในโครงการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียน งบประมาณ 900 กว่าล้านบาท ก็ยังมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย โดยปี 2566 มีคดีค้างอยู่ในศาลปกครอง และองค์การค้าของ สกสค. แพ้ยกแรกไปแล้วด้วย 

 

 

ส่วนปีการศึกษา 2567 ก็มีการตรวจสอบเรื่องนี้ในคณะกรรมาธิการติดตามงปบระมาณของวุฒิสภา ก็มีการสรุปตามความเห็นของกรมบัญชีกลางว่า TOR ที่ออกมา เข้าข่ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะนี้ได้ส่งเรื่องต่อไปให้ สตง. และ ป.ป.ช. ไต่สวนต่อ 

 

 

 

ขณะที่การตรวจสอบของคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร ยังพบพิรุธอีกมากมาย โดยเฉพาะการจ่ายเงินค่าพิมพ์หนังสือแบบเรียน แทนที่จะจ่ายให้โรงพิมพ์ กลับไปจ่ายให้บริษัทกระดาษ 

 

ที่น่าสนใจก็คือ ประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร มี สส.พรรคประชาชนเป็นประธาน และตรวจสอบเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น จึงมีข้อมูลพร้อมที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีข่าวว่าทางพรรคอนุมัติให้ยื่นญัตติซักฟอกได้ โดยจะได้่เวลาอภิปรายอย่างน้อย 1 ชั่วโมง 

 

งานนี้ต้องรอดูว่า ผลของการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้หรือไม่ เพราะจริงๆ แล้ว “ศึกซักฟอก” ยังเป็นเพียงดาบแรก เนื่องจากรัฐมนตรีกระทรวงนี้ยังมีคดีหมิ่นประมาทกับโรงพิมพ์เอกชน ซึ่งเกิดขึ้นขณะดำรงตำแหน่ง หากศาลประทับรับฟ้อง จะมีมือดีไปยื่น ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบจริยธรรมหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกันต่อไป