14 เมษายน 2567 "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังทำบุญที่วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ถึงภารกิจช่วงเย็นวันนี้ (14 เม.ย.) โดยจะไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านเลอค็อกดอร์ ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ตั้งแต่สมัยที่ตนเป็นนายกฯ และตอนนี้ก็ยังอยู่
"ทักษิณ" ยันไร้นัยการเมืองกินข้าวร่วมรัฐมนตรี
ส่วนที่จะมีรัฐมนตรีหลายคนมาพบด้วยนั้น ยืนยันไม่มีนัยทางการเมืองอะไร มันเป็นประเพณี โดยเฉพาะตนเป็นคนเชียงใหม่ ประเพณีสงกรานต์ก็มารดน้ำดำหัวเป็นเรื่องปกติ ตนอายุ 75 ปี แล้ว พวกที่อยู่ทั้งหลายตอนนี้ อายุน้อยกว่าตนทั้งนั้น ที่อายุเยอะกว่าเห็นจะมีแค่ "นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช" รมว.วัฒนธรรม
ส่วนที่หลายคนมองว่าหากใครไม่มาเช็กชื่อ ก็คงไม่เป็นแบบนั้น ตนเป็นคนไม่จุกจิก และไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับนายกฯ ซึ่งนายกฯจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าใครจะอยู่ใครจะไป
อย่ายึดติดเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
เมื่อถามว่า จะพูดอย่างไรให้รัฐมนตรีที่เข้าใจผิดว่าจะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องวิ่งเข้าหาตน นายทักษิณ กล่าวว่า "Nothing is permanent" ไม่มีอะไรเป็นสรณะ เพราะมันก็มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีตำแหน่งแล้วต้องหมดตำแหน่ง ก็เป็นเรื่องธรรมดา อย่าคิดอะไรมาก ระหว่างที่มีตำแหน่งอยู่ก็ทำให้ดีที่สุด สร้างชื่อเสียงให้กับบ้านเมืองไป
ไม่ใช่ศูนย์กลางอำนาจแต่เป็นศูนย์กลางคนแก่
เมื่อถามว่า มีการมองว่าจะกลับมาจะเป็นศูนย์กลางอำนาจ นายทักษิณ กล่าวว่า เป็นศูนย์กลางของคนแก่ ที่พวกรุ่นน้อง ๆ อยากมาปรึกษาหารือ ตอนนี้อายุ 75 ปีแล้ว เผลอแปบเดียวกลายเป็นคนแก่สุดแล้ว ถือว่าวันนี้ (14เม.ย.) เริ่มเข้าวัยเบญจเพส อีก 25 ปี ก็ครบ 100
ทุกอย่างมีจำกัดทั้งเก้าอี้นายกฯ-รมต.
สำหรับกระแสข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาล และมีการโยงชื่อของนายทักษิณว่าเป็นผู้คุยดีลนี้ นายทักษิณ ย้อนถามว่า "เหรอครับ" ก็รู้จักกันทั้งนั้น ก็คุยการเมืองกัน หลายคนอยากทำงานให้บ้านเมือง
"แต่บางครั้งทุกอย่างก็มีจำกัด เก้าอี้รัฐมนตรีก็มี 36 รวมทั้งนายกฯด้วย ก็ต้องมีจำกัด ส่วนจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ ผมไม่ทราบ ขอให้ไปถามนายกฯ ซึ่งการพบกับคนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็กินกาแฟกันธรรมดา" อดีตนายกฯ กล่าว
"เดชอิศม์" เคยเป็นอดีตผู้สมัคร สส.ไทยรักไทย
นายทักษิณ ยังยกตัวอย่าง "นายเดชอิศม์ ขาวทอง" สส.สงขลา ซึ่งปัจจุบันเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็เคยเป็นผู้สมัคร สส.พรรคไทยรักไทย สมัยที่ตนเป็นหัวหน้าพรรคใหม่ๆ ก็เลยรู้จักกัน
เมื่อถามย้ำว่า แล้วที่คุยนั้นกับหัวหน้าพรรคหรือเลขาธิการพรรคหรือใคร นายทักษิณ ระบุว่า ไม่ ตนก็คุยกับคนรู้จัก
ยืนยันปรับ ครม. เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรี
ด้าน นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า กระแสข่าวถูกปรับโยกไปนั่งตำแหน่งรมว.ท่องเที่ยวและกีฬานั้น ตนก็ทราบข่าวจากสื่อมวลชน แต่ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็ตั้งใจทำงาน
"ยืนยันว่าการปรับ ครม. เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ที่จะพิจารณาว่าใครจะไปดำรงตำแหน่งอะไร แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นคือการมีรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถ" นายเสริมศักดิ์ กล่าว
รับถนัดงาน มท. มากกว่าท่องเที่ยว
เมื่อถามว่า หากถูกสลับไปนั่ง รมว.ท่องเที่ยวฯ จริง ถือเป็นงานที่ถนัดหรือไม่ นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า ความจริงตนถนัดงานที่กระทรวงมหาดไทย เพราะเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดและเป็นอดีต รมช.มหาดไทย มาก่อน แต่หากต้องไปเป็น รมว.ท่องเที่ยวฯ จริง ก็สามารถทำได้ เพราะมีหลักในการทำงานอยู่แล้ว
ไม่ขอคาดเดาปรับคณะรัฐมนตรีแต่ทำงานเต็มที่
ด้าน "นายสมศักดิ์ เทพสุทิน" รองนายกฯ กล่าวว่า เวลานี้มีข่าวการปรับ ครม. ออกมา ซึ่งตนก็ไม่สามารถมาคาดเดาได้ แต่ตนเป็นรองนายกฯ ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 15 แล้ว โดยอาจจะเลิกถ้าหากเป็นครบ 20 ครั้ง เพราะไม่รู้จะถูกย้ายไปไหน แต่ตามข่าวที่ออกมา ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะไม่ใช่ผู้มีสิทธิ์เลือก ซึ่งข่าวที่เกิดขึ้น ก็เป็นเพียงสิ่งที่ลือกันไป
"เวลานี้ขอตั้งใจและทำสมาธิกับการผลักดันสิ่งต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะรองนายกฯ ให้ดีที่สุด และมีความสุข ที่ได้ทำอยู่" นายสมศักดิ์ ระบุ
นายกฯ ย้ำปรับ ครม. ต้องคุยทุกฝ่าย
ขณะที่ "นายเศรษฐา ทวีสิน" นายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวว่า การปรับ ครม. ในครั้งนี้ ย้ำว่าจะต้องพูดคุยกับหลาย ๆ ภาคส่วน ทั้งเลขาธิการนายกฯ พรรคร่วมรัฐบาล และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และยืนยันว่าหลังกลับไปจากเทศกาลสงกรานต์นี้ จะมีการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลแน่นอน หากจะมีการปรับ ครม. ก็จะต้องการพูดคุยกัน เพื่อให้เกียรติซึ่งกันและกัน
จะนั่งกลาโหมหรือเป็นไปได้ทุกอย่าง
ส่วนความเป็นไปได้ตามกระแสข่าวที่จะไปควบตำแหน่ง รมว.กลาโหมนั้น ซึ่งทุกตัวเลือกมีความเป็นไปได้หมด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และให้ความสำคัญกับการวางบุคคลให้ถูกฝาถูกตัว ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ นายกฯ ยังกล่าวปฏิเสธถึงปัจจัยความเป็นไปได้หากจะควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม โดยระบุเพียงว่า ตนเองไม่อยากคาดเดา หรือเจาะจง แต่ตนเองพูดในหลักการคร่าว ๆ หากมีการโยกย้าย ก็ต้องรับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน รวมถึงความเห็นของสื่อมวลชน ที่มีการสะท้อนว่า บางคนทำงานยังไม่ถูกฝาถูกตัว มีจุดอ่อนในบางด้าน เช่น การสื่อสาร การประสานงาน ซึ่งทุกข้อคิดเห็นตนนำมาพิจารณาทั้งหมด หากจะมีการปรับ ครม.
อย่าเจาะจงว่าปรับเล็กหรือใหญ่
ส่วนโอกาสปรับปรับเล็กหรือปรับใหญ่ เพื่อเริ่มทำงานทันทีหลังร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 มีผลใช้บังคับนั้น ส่วนตัวย้ำว่าไม่อยากคาดเดา หรือเจาะจงจะเป็นการปรับเล็กหรือปรับใหญ่ เพราะขึ้นอยู่กับการพูดคุย และผลงานแต่ละบุคคล
ส่วนการปรับรัฐมนตรีจะถูกฝาถูกตัวหรือไม่นั้น ซึ่งการปรับเปลี่ยน จะต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ไม่ได้จะมีการปรับในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ แต่หากจะมีการปรับ ต้องมีความชัดเจน ทั้งถูกต้อง เหมาะสม ถูกเวลา แต่อาจจะมีรัฐมนตรีบางคนที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง หรือยังต้องการเวลาในการทำงาน เพื่อให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งหากจะต้องมีการปรับ ก็จะต้องมีการปรับไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่การปรับครั้งสุดท้าย
ไม่การันตีปรับแล้วทุกอย่างจะสงบ
นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ตนไม่มั่นใจการปรับ ครม.ครั้งนี้ จะไม่มีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้น และย้ำว่าตนเองไม่ได้บอกว่าจะมีการปรับ ครม. เพราะเป็นการพูดกันเอง
ส่วนการปรับหากจะเกิดขึ้น จะช่วยลดแรงกระเพื่อมในพรรคเพื่อไทยด้วยหรือไม่นั้น ย้ำว่าตนไม่แน่ใจ และไม่ทราบเช่นกัน เพราะตนเองยึดการแก้ไขปัญหาของประชาชน และการทำงานเป็นที่ตั้ง
เชื่อมั่นรมต.ถูกปรับพ้นเก้าอี้เข้าใจเหตุผล
ขณะเดียวกัน เชื่อว่ารัฐมนตรีทุกคนจะเข้าใจหากจะมีการปรับ ครม. เกิดขึ้น เพราะแม้จะมีการปรับออกไปแล้ว ก็สามารถปรับเข้ามาใหม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับวาระ แต่ละเหตุการณ์ในปัจจุบัน เช่น เหตุการณ์ปัจจุบันอาจต้องการบุคคลบางบุคคลเข้าไปช่วยงานในสภา ซึ่งหากสภามีความแข็งแกร่งแล้ว ก็อาจกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีใหม่ได้ ไม่ได้ถือเป็นการจบแล้วจบเลย
"เพราะในอดีตก็มีการปรับ ครม. ทั้งปรับเข้าและปรับออก หรือการเปลี่ยนกระทรวงแล้วกลับมากระทรวงเดิม จึงขอให้อย่าคิดอะไรมาก และย้ำว่า หากจะมีการปรับ ก็เพื่อให้ถูกฝา ถูกหน้าที่ และคำนึงถึงระบบรัฐสภาด้วย รวมถึงความอยู่รอดขอประชาชนเป็นที่ตั้ง และไม่ใช่การปรับภายใน 1-2 วันนี้ ซึ่งหากมีการสื่อสารไปมาก ก็จะเกิดแรงกระเพื่อม" นายเศรษฐา ระบุ
"ทักษิณ" คุยปชป.เพราะเป็นผู้อาวุโสการเมือง
สำหรับโอกาสการดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล หลังนายทักษิณ ออกมายอมรับได้มีโอกาสพูดคุยและรับประทานอาหารร่วมกับแกนนำพรรค ซึ่งนายทักษิณ มีความอาวุโสการเมืองสูง มีเพื่อนฝูงในวงการมาก การรับประทานอาหาร และพูดคุยกับผู้อื่นก็มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ประชาชน ดังนั้น การไปรับประทานอาหารร่วมกับใครก็สามารถตีความได้หลายอย่าง
ทั้งนี้ แต่ส่วนตัวนั้น ยืนยันได้ว่า ไม่เคยมีการพูดคุยกับใคร รวมถึงนายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ในการลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช