
29 มกราคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลัง นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะที่ตึกไทยคู่ฟ้าว่า ได้มีการพูดคุยกันหลายมิติ ซึ่งเมื่อวานนี้ (28 ม.ค.) ก็ได้มีการเซ็นสัญญากับนายปานปรีย์ พหิธทานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เกี่ยวกับเรื่องวีซ่าฟรี ที่ไม่ต้องขอวีซ่าในการเดินทางของทั้งสองประเทศ โดยจะเริ่มต้นวันที่ 1 มี.ค.นี้
ถือว่าเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ เป็นความไว้วางใจที่สองประเทศมีให้กัน มิตรภาพที่มีต่อกันมาก็จะครบ 50 ปีในปีหน้านี้ และถือเป็นมิติที่ดีที่จะสนับสนุนการไปมาหาสู่กัน อีกทั้งแน่นอนว่าการท่องเที่ยวถือเป็นความสำคัญกับเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างสูง
ขณะเดียวกับ นายหวัง อี้ ยังบอกว่า ประเทศจีนมีวัฒธรรมที่หลากหลาย อยากให้คนไทยไปที่นั่น ตนก็บอกว่าเราสนับสนุนการเดินทางไปมาของประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งได้มีการพูดคุยกันถึงจำนวนเที่ยวบินที่ยังไม่กลับเข้ามาสู่จำนวนปกติตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดที่มีจำนวน 2,000 ไฟลท์ ปัจจุบันมีแค่ 1,200 ไฟลท์ ซึ่งหลังจากนี้จะมีการยกระดับให้ไปมาหาสู่กันสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งตนมั่นใจว่า ในอนาคตจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามากขึ้น ประเทศไทยก็จะได้ไปท่องเที่ยวจีน ถือเป็นผลดีของทั้งสองประเทศ
นายเศรษฐา กล่าวต่อ ประเทศไทยยืนยันเจตนารมณ์ ให้การสนับสนุนความเป็นกลาง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีนคุยกันอย่างหลายมิติ ซึ่งต่อไปก็ยินดีให้การสนับสนุนในการเจรจาลักษณะนี้เกิดขึ้น ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเองก็ระบุว่า ตอนที่มีดำริว่าจะมีการพูดคุยกัน ต้องเป็นประเทศในเอเชีย ทางจีนบอกเองเลยว่าต้องเป็นประเทศไทย ซึ่งบ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันดี มีมิตรไมตรีจิตที่ดีต่อกันมาโดยตลอด อีกทั้งถือเป็นการประชุมประวัติศาสตร์ครั้งแรกๆ เลยก็ว่าได้
ส่วนเรื่องของการค้าระหว่างประเทศ ก็ได้มีการพูดคุยในหลายมิติ ทั้งเรื่องการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ใช่แค่เรื่องรถยนต์อีวีอย่างเดียว ยังมีเรื่องรถไฟความเร็วสูง ที่จะใช้เส้นทางผ่านจังหวัดหนองคายมุ่งหน้าไปยังประเทศจีน และยังมีเรื่องปัญหาเล็กน้อยคือ เรื่องศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าก็มีการพูดคุยกัน รวมถึงเรื่องการค้าขายด้านเกษตรกรรม ทั้งการค้าโคที่ประเทศจีนต้องการอย่างมาก แต่ด่านกักกันตรวจเชื้อโรคอยู่ที่ประเทศลาว ทำให้การค้าไม่ค่อยสะดวก
นอกจากนี้ยังมีการคุยกันเรื่องหมีแพนด้า หลังประเทศไทยเคยมีแต่ปัจจุบันนั้นไม่มี และตนได้ไปดูในทวิตเตอร์ว่าประเทศที่มีหมีแพนด้านั้นเขามีกันกี่ตัว ไล่ลงมาหลายประเทศแต่ประเทศไทยนั้นมีศูนย์ตัว ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นกระจกสะท้อนที่ดี ถึงความสัมพันธ์ด้านการทูตอย่างดีกับประเทศจีนตลอด 50 ปี ก็ได้เรียนขอกับนายหวัง อี้ ไปท่านก็ยินดี และเราจะมีหมีแพนด้ากลับมาอีกครั้ง ที่สวนสัตว์เชียงใหม่
นอกจากนี้ยังมีเรื่องแลนด์บริดจ์ นายหวัง อี้ เอ่ยขึ้นมาเองว่า ประเทศจีนมีความสนใจ แต่ว่าต้องขอข้อมูลเพิ่ม รวมถึงภาคเอกชนก็มีความสนใจมีส่วนร่วม เพราะเขาทราบดีถึงเหตุผลหลักที่เราควรจะมีโครงการนี้ เพราะการลงทุนที่มีจากประเทศจีนหลายปีหลัง บริษัทใหญ่ในจีนเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากในเมืองไทย และจะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการส่งออก
ดังนั้นเราต้องมีท่าเรือน้ำลึก จะต้องมีโครงการเมกะโปรเจกต์ ที่จะมาซัพพอร์ตส่วนนี้ด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็จะเดินทางไปทำโรดโชว์ที่ประเทศจีนด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเป็นไปตามที่กล่าวข้างต้น มูลค่าทางการค้าจะเพิ่มขึ้นเท่าไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคาดเดาไม่ได้ แต่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เพราะนี่คือจุดเริ่มต้น เรามีความสัมพันธ์อันดีกันอย่างยาวนาน ขณะที่ปีหน้าก็ครบ 50 ปีด้วย ตนก็ได้เรียนเชิญประธานาธิบดี นายสี จิ้น ผิง ให้มาเยือนประเทศไทย
ทั้งนี้วันนี้ (29 ม.ค.) นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ ที่เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยก่อนการประชุม ได้ถ่ายภาพหมู่ร่วมกับ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่เดินทางมาร่วมประชุม
นายปานปรีย์ เปิดเผยว่า หนึ่งในหัวข้อที่จะหยิบยกมาหารือในที่ประชุมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ คือเรื่องปัญหาความไม่สงบในเมียนมา ที่อาเซียนเห็นพ้องอยากให้เกิดสันติภาพโดยเร็ว และไทยพร้อมสนับสนุน
ด้าน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งร่วมคณะมากับ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้ เมียนมาส่งผู้แทนประดับสูงเข้าร่วมประชุมด้วย โดยจะต้องมีการหยิบยกเรื่องปัญหาความไม่สงบในเมียนมา มาหารือ ซึ่งเราต้องการให้รัฐบาลเมียนมากลับเข้าสู่อาเซียน แต่ทางรัฐบาลเมียนมา ต้องแสดงท่าทีตอบสนองต่อหลักฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน
ทั้งยุติความรุนแรง เปิดประเทศสำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เริ่มกระบวนการเจรจาหารือระหว่างกลุ่มต่างๆในเมียนมา ซึ่งจะเห็นว่า หากเมียนมาสามารถให้ความร่วมมือกับไทย ในเรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำหรับคนที่มีความจำเป็นและเดือดร้อนบริเวณชายแดน ก็จะเป็นก้าวสำคัญที่จะนำเอาฉันทามติ 5 ข้อไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งแม้การให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม จะเป็นในระดับทวิภาคีกับไทยก่อน
โดยดึงศูนย์ประสานงาน ด้านมนุษยธรรมของอาเซียน มาช่วยในการตรวจสอบติดตาม มากระจายความช่วยเหลือ เพื่อให้มีความมั่นใจว่า ความช่วยเหลือที่ข้ามชายแดนไทยไป เป็นความช่วยเหลือที่ไปถึงทุกคนอย่างทั่วถึงที่สุด ซึ่งการที่เมียนมาจะกลับเข้าสู่อาเซียนในระดับผู้นำและระดับรัฐมนตรี ก็ต้องมีความคืบหน้าในการปฏิบัติตามฉันทางมติ 5 ข้อ ซึ่งอาเซียนก็ต้องทบทวนตลอดเวลา
"การที่เขามาร่วมในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ก็เป็นสิ่งที่ดี ที่เขาจะได้รับทราบข้อกังวลของอาเซียน แต่เราก็หวังว่า ถ้ามีความคืบหน้าอีก และรัฐบาลทหารเมียนมามีท่าทีที่ตอบสนองข้อกังวลของอาเซียน ก็เป็นการค่อยๆนำเอาเมียนมากลับสู่เวทีของอาเซียนได้" นายสีหศักดิ์ กล่าวและกล่าวต่อ
สำหรับการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอย่างไม่เป็นทางการในครั้งนี้ ไทยอยากจะสนับสนุนประธานของอาเซียนปัจจุบัน คือ สปป.ลาว ให้ประสบความสำเร็จในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนทุกทาง โดยให้ความช่วยเหลือปรับปรุงห้อง VIP
และในช่วงที่เราเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม อาจจะต้องมีการเพิ่มเที่ยวบินจากไทยมาลาว เพราะคณะผู้แทนที่มาร่วมประชุมสำคัญๆ ก็จะต้องบินผ่านไทยจึงได้ประสานกับสายการบินที่มีเที่ยวบิน มา เวียงจันทน์ ทั้งการบินไทยบางกอกแอร์เวย์ และแอร์เอเชีย ขอให้เพิ่มเที่ยวบิน และในกรณีที่ผู้นำ นำเครื่องบินมาเองแต่หลุมจอดไม่พอในฝั่งเวียงจันทน์ ก็สามารถนำมาจอดในฝั่งไทยได้