
3 มกราคม 2567 การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 เริ่มขึ้นเวลา 9.30 น. โดยมี "นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา" ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม
โดยก่อนเริ่มประชุม ประธานสภาได้แจ้งกรอบเวลาอภิปราย 3 วัน รวม 43 ชั่วโมง โดยฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ได้ฝ่ายละ 20 ชั่วโมง
จากนั้น "นายเศรษฐา ทวิสิน" นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้ชี้แจงหลักการและเหตุผลความจำเป็นในการใช้งบประมาณปี 67 ว่า จะใช้งบประมาณอยู่ที่ 3.48 ล้านล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผ่าน 6 ยุทธศาสตร์ คือ
สำหรับรายได้ที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ อยู่ที่ 2,787,000 ล้านบาท และเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 693,000 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่างบประมาณรายจ่ายปีนี้ จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้นกว่าร้อยละ 11.9
ทั้งนี้ ทำให้สามารถจัดสรรงบไปลงทุนได้กว่า 717,722.2 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 4.1 และสามารถชดใช้เงินคงคลัง และชำระคืนต้นเงินกู้ได้กว่า 118,361.1 ล้านบาท อีกด้วย ซึ่งจะเป็นการเตรียมพร้อมทำให้รัฐบาลมีกรอบในการลงทุนในระยะกลางและยาวมากขึ้นในปีงบประมาณ 2568 อีกด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ 564,041.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.2 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ และชดใช้เงินคงคลัง
"การบริหารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการดำเนินนโยบายทั้งในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว โดยรัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด" นายกฯ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับยุทธศาสตร์ด้านสังคม จะใช้งบประมาณสูงที่สุด 834,240.6 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 24 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด เน้นไปที่การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาส รวมไปถึงเสริมสร้างบุคลากร
นอกจากนี้ ยังสร้างหลักประกันทางสังคม โดยเฉพาะระบบสาธารณสุข ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค ให้มีสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น
ขณะที่ ด้านความมั่นคง ใช้งบประมาณ 57,162.1 ล้านบาท ในการพัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ และความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ เพื่อให้หน่วยงานด้านการข่าวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนากิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ที่อาจนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจใหม่ภายในประเทศ
ขณะที่ "นายชัยธวัช ตุลาธน" หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า จาการฟังนายเศรษฐา ที่ได้อ่านหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ทำให้นึกถึงบรรยากาศของปีที่แล้ว ซึ่งนายกฯคนก่อนหน้านี้ ก็มาอ่านแบบนี้ ที่เต็มไปด้วยข้อความสวยหรู แต่ปัญหายังมีอยู่เหมือนเดิม เมื่อเข้าไปดูรายละเอียดของร่างงบประมาณ เป็นแผนงานกว้าง จับต้องไม่ได้ สะเปะสะปะ เลื่อนลอย ไม่มียุทธศาสตร์ ไม่มีการจัดลำดับความสำคัญ
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 66 นายกฯ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองภายในประเทศ เกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญ วิกฤตเศรษฐกิจปัญหาปากท้องของประชาชน และวิกฤตความขัดแย้งในสังคม ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหารัฐบาลมีกรอบนโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วน ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
ขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านได้อภิปรายวิพากษ์วิจารณ์ว่า นโยบายของรัฐบาลไม่เหมือนกับที่เคยหาเสียงเอาไว้ หรือไม่มีความชัดเจน ไม่มีรูปธรรมที่จับต้องได้ แต่นายกฯ บอกว่า เดี๋ยวให้รอดูแผนรายกระทรวง ชัดเจนแน่นอน พอตามไปดูแผนรายกระทรวง ก็พบปัญหาว่าไม่ได้มีตัวชี้วัดชัดเจน ไม่สามารถวัดความสำเร็จของนโยบายได้จริง หรือไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายทางนโยบาย
อย่างไรก็ดี เมื่อมาดูไส้ในของแผนงานพบว่าเป็นโครงการเดิมๆ ที่กระทรวงทำอยู่แล้ว เหล้าเก่าในขวดใหม่ ยัดโครงการประจำของกระทรวง เข้ามาในแนวนโยบายที่รัฐบาลจะทำ ค่อนข้างปะปนกันระหว่างสิ่งที่รัฐบาลจะทำ กับสิ่งที่เป็นงานประจำที่หน่วยงานทำอยู่แล้ว จนเมื่อ ครม. มีมติครั้งแรก สั่งทบทวนงบ 67 ใหม่ ใช้เวลา 3 เดือนในการปรับปรุง เพื่อตอบสนองการขับเคลื่อนนโยบาย
"แต่สุดท้ายหน้าตาของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ กลับไม่ต่างไปจากเดิม นายกฯบอกว่ามีนโยบายเร่งด่วน ซึ่งควรสะท้อนอยู่ในร่างกฎหมายนี้ แต่กลับต้องผิดหวัง เพราะตั้งงบเพื่อดำเนินนโยบายไม่ตอบโจทย์ เช่นเดียวกับนโยบายเร่งด่วนในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว" นายชัยธวัช กล่าว
ส่วนการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน งบประมาณเพื่อชดเชยหนี้ให้ กฟผ. จากนโยบายลดค่าไฟ ก็ไม่ได้ถูกตั้งเอาไว้ ให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งน่าจะต้องทำประชามติ 1-2 ครั้งในปีนี้ รัฐบาลก็ไม่ได้ตั้งงบเอาไว้ รอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ของบไป 2,000 ล้าน แต่ได้มาแค่ 1,000 ล้าน
ส่วนนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ตอนแถลงนโยบายบอกว่าจะไม่กู้ แต่วันนี้ (3ม.ค.) ชัดเจนแล้วว่าไม่มีการตั้งงบใดๆ ไว้ในร่างงบ 67 คงดูต้องว่ารัฐบาลจะสามารถเสนอ พ.ร.บ.เงินกู้ เข้าสู่สภาได้หรือไม่
ทั้งนี้ ขอสรุปภาพรวม ร่างงบประมาณ 67 ที่เสนอมา เป็นเบี้ยหัวแตก สะเปะสะปะ ไม่มียุทธศาสตร์ ทำงานอย่างไม่มีวาระเป้าหมายชัดเจน หน้าปกอาจจะดูดี แต่พอเข้าไปดูไส้ในแล้วไม่ได้ยึดโยงกับเป้าหมายทางนโยบาย ส่วนใหญ่เป็นโครงการเดิมๆ แต่เอามาโยงให้เข้ากับเป้าหมายใหม่ แถมนับรวมทุกรายจ่ายแล้วเคลมว่าเป็นงบสำหรับการลงทุนใหม่ ที่ชอบทำกันมากที่สุด คือ งบตัดถนน กลายเป็นโครงการวิเศษที่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกยุทธศาสตร์แบบงงๆ
ขณะเดียวกัน มี 200 โครงการใหม่ จากทั้งหมด 2,000 โครงการ ซึ่งโครงการใหม่ส่วนใหญ่เกิดจากหน่วยงานใหม่ที่ตั้งขึ้นมา ก่อนที่จะมีรัฐบาลใหม่ เป็นโครงการที่หน่วยงานราชการเสนอขึ้นมา ไม่ใช่การผลักดันเพื่อขับเคลื่อนโครงการใหม่จริงๆ ซ้ำยังคาดการณ์รายได้เกินจริง (ประมาณแสนล้านบาท) เพื่อที่จะเพิ่มแผนรายจ่ายได้สูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังตั้งงบรายจ่ายที่ต้องใช้แน่ๆ ไว้ไม่พอ เช่น บำเหน็จบำนาญ เงินเดือนราชการ งบสวัสดิการ นโยบายเพิ่มเงินเดือนราชการ 10% ค่าชดเชยภาษีรถ EV ค่าไฟชดเชยหนี้ กฟผ. จากนโยบายลดค่าไฟ งบซอฟต์พาวเวอร์ที่โฆษณาไว้ว่า จะลงงบกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งรายจ่ายที่ไม่ได้ตั้งงบไว้พวกนี้ รวมๆ แล้วไม่น่าจะน้อยกว่า 1 แสนล้านบาท สุดท้ายก็ต้องปัดไปเป็นรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในปีถัดไป แล้วทุกอย่างโยนไปใช้งบกลาง
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถาพเช่นนี้ จึงมองไม่เห็นวาระเป้าหมายของรัฐบาลผ่านการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณ ซึ่งการจะบรรลุนโยบายเป้าหมาย ไม่จำเป็นต้องใช้งบเยอะเสมอไป เป็น non-budget policy ได้ แต่การจัดสรรงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนประเทศ ก็ไม่ควรจะแย่ขนาดนี้ อย่างเช่น รัฐบาลแถลงนโยบายเร่งด่วน ว่าจะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม
"วันนี้ไม่แน่ใจแล้วว่า รัฐบาลกำลังจะทำให้สถานการณ์เรื่องระบบนิติธรรม นิติรัฐ เลวร้ายลงไปอีกหรือไม่ เพราะสังคมกำลังถูกตอกย้ำให้ยอมรับกระบวนการยุติธรรมแบบสองมาตรฐาน แบบอภิสิทธิชน กฎหมายและคุก มีไว้ใช้สำหรับประชาชนสามัญที่ไม่ได้มีอำนาจ บารมี หรือเงินทองเท่านั้น และตลอด 3 วันนี้ สมาชิกพรรคก้าวไกลและพรรคฝ่ายค้านทั้งหมด จะมาอภิปรายแจกแจงให้เห็นเป็นรูปธรรม ว่าทำไมร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ถึงมีปัญหาอย่างที่ได้กล่าวสรุปภาพรวมเอาไว้" นายชัยธวัช ระบุ
อย่างไรก็ดี ส่วนตัวอยากจะทิ้งท้ายไว้ว่า ปัญหาของการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณนี้ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นเพียงรัฐบาลรวมการเฉพาะกิจ ไม่ได้มีวาระเป้าหมายทางนโยบายที่จะขับเคลื่อนร่วมกัน แต่รวมการเฉพาะกิจ เพื่อแบ่งปันอำนาจ แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้
จึงเห็นการจัดตั้ง ครม. แบบผิดฝาผิดตัวเต็มไปหมด ไม่ได้แบ่งงานกันตามวาระเป้าหมาย แต่แบ่งกันตามโควตาทางการเมือง วางเจ้ากระทรวงไม่ถูกกับงาน
"เราจึงเห็นนายกฯ ที่เอาแต่สั่งราชการลอย ๆ รอระบบราชการชงให้ แล้วชอบโวยวายเวลาไม่ได้ดั่งใจ แทนที่จะเห็นนายกฯ ที่ทำงานเชิงรุก เข้าไปปลุกปล้ำนโยบายในระดับปฏิบัติ จากที่เคยบอกว่า คิดใหญ่ทำเป็น วันนี้กลายเป็นคิดไป ทำไป คิดสั้น ไม่คิดยาว หรือไม่ก็คิดอย่างทำอย่าง หากการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ จะมีวาระร่วมกันจริงๆ ก็คงเป็นวาระเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตทางอำนาจของชนชั้นนำ เพราะสภาวะการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลชุดนี้ ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่า เป็นการรวมตัวกันเพื่อรักษาสภาวะเดิมของสังคมไทยเอาไว้ รวมตัวกันเพื่อฝืนความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย เพื่อปกป้องพลังทางสังคมแบบจารีต และต่อต้านพลังทางสังคมใหม่ๆ ที่ต้องการอนาคตที่ดีกว่านี้" ผู้นำฝ่ายค้าน ระบุ
นายชัยธวัช กล่าวย้ำว่า ก่อนการรัฐประหาร 2549 สังคมไทยมีโอกาสได้เห็นความพยายามของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นความหวังแห่งการเปลี่ยนแปลง ผู้นำทางการเมืองในขณะนั้นเล็งเห็นว่า หากประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้ากว่านี้ได้ จำเป็นต้องปฏิรูประบบรัฐราชการ รวมถึงกระบวนการกำหนดนโยบายและระบบงบประมาณ ที่ล้าสมัยและไม่มีประสิทธิภาพ มีความพยายามที่จะเปลี่ยนระบบงบประมาณ ที่เดิมส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของระบบราชการในกระทรวงต่างๆ มาเป็นระบบงบประมาณที่มุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล
ทั้งนี้ แต่หลังการรัฐประหารจากนั้นเป็นต้นมา รัฐราชการและชนชั้นนำจารีต ได้กลับมาควบคุมสังคมไทยอีกครั้ง ไม่เห็นเจตจำนงและความพยายามของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในการปฏิรูปรัฐไทยอย่างจริงจังอีก เพราะพลังทางการเมืองที่เคยเป็นพลังใหม่ เคยเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันกลับเข้าไปร่วมสมาคมเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจเก่าแล้ว
"เราไม่สามารถอยู่กันแบบเดิมๆ ได้แล้ว พวกเราในฐานะฝ่ายค้าน ไม่อยากเห็นเพราะระบบงบประมาณที่เหมือนเดิม ในฐานะฝ่ายค้านเราพร้อมสนับสนุนฝ่ายบริหาร 3 วันต่อจากนี้ พวกเราจะทำหน้าที่ผู้แทนอย่างซื่อตรง สร้างสรรค์ ขอให้ตัวแทนรัฐบาลรับคำวิจารณ์ รับฟังข้อเสนอแนะ และความเห็นของพวกเรา หวังว่าสุดท้ายการพิจารณางบประมาณจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมากที่สุด" นายชัยธวัช กล่าว