
20 กันยายน 2566 นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ชี้แจงการใช้งบประมาณ การเดินทางไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2566 ว่า ได้มีการประชุมกับคณะกรรมการหลายชุด แล้วเจอโจทย์ที่จะต้องพัฒนาสภาฯ เป็นสากลให้ได้ แต่การเดินทางไปดูงานในประเทศที่ไกลเกินไปไม่มีความจำเป็น จึงเริ่มต้นศึกษาจากประเทศที่เป็นพันธมิตรในระดับอาเซียน ซึ่งงบประมาณที่ตั้งไว้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลัง ในส่วนของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
ส่วนข้อกังวลว่า งบประมาณที่ตั้งไว้สูงเกินไปนั้น ขอชี้แจงว่า เป็นการตั้งตามระเบียบ ยังไม่ได้ใช้จริง แต่ตอนนี้สามารถเปิดเผยค่าใช้จ่ายได้บางส่วน โดยคณะการเดินทางครั้งนี้ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 กรรมการโดยมีตนเอง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, นายวรภพ วิริยะโรจน์ ซึ่งเป็นสส.ที่ตนตั้งใจอยากให้ไปดูระบบสารสนเทศ ระบบฐานข้อมูลโปร่งใส เพราะจะได้ไปดู Government technology ของสิงคโปร์ ซึ่งงานด้านเทคนิคจำเป็นต้องนำคนที่เหมาะสมกับงานไปเท่านั้น
ส่วนที่ 2 เป็นโควตาประธานกรรมการกิจการสภาผู้แทนราษฎร แต่เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการแต่งตั้ง จึงได้มีการแบ่งโควตา ในฝ่ายค้านพรรคก้าวไกล เปิดให้สส. ได้ลงชื่อแสดงเจตจำนงร่วมเดินทางไปดูงาน 3 คน และในฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย 2 คน ส่วนอีก 2 คนจากพรรคภูมิใจไทย ได้มีการเทียบเชิญแต่ยังไม่ได้มีการส่งรายชื่อกลับมา ทั้งนี้คิดว่าการเลือกสรรบุคลากรในการเดินทางไปครั้งนี้ จะได้องค์ความรู้และภาคปฏิบัติที่จะนำกลับมาพัฒนาสภาฯ
และส่วนที่ 3 เจ้าหน้าที่สภาฯ 4 คน เป็นฝ่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสำนักงานเลขาธิการรองประธานสภาฯ รวมผู้เดินทาง 12 คน
ขณะที่ค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นจริงตอนนี้ ในส่วนตั๋วค่าเครื่องบินตามสิทธิ์ 52,000 บาท ใช้จริง 28,000 บาท ที่เหลือจะส่งคืนคลังทั้งหมด ค่าโรงแรม ตามสิทธิ์เบิกได้ 12,500 บาท จองจริงประมาณ 9,000 บาท โดยพยายามจะประหยัดให้ได้มากที่สุด อีกทั้งตนเองจะทำหน้าที่เป็นทูตของสภาผู้แทนราษฎร การเยี่ยมคารวะ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการเลี้ยงรับรองบุคคลต่างๆ จะต้องให้เกิดความสมเกียรติกับประเทศไทย
ขณะที่การตั้งข้อสังเกตงบรับรองที่สูงเกินไปนั้น เนื่องจากการตั้งงบประมาณครั้งแรก ยังไม่ทราบรายละเอียดของการเดินทาง เมื่อทราบรายละเอียดก็จะมีการหักทอนค่าใช้จ่ายออก โดยเงินส่วนที่เหลือก็จะส่งคืนคลัง และพร้อมแสดงใบเสร็จค่าใช้จ่าย
นายปดิพัทธ์ ชี้แจงต่อถึงการเดินทางที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ไปในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นั้น เนื่องจากการทำงานของตัวเองต้องทำงานเต็มเวลาวันจันทร์ถึงศุกร์ ซึ่งในวันพุธและวันพฤหัสบดี ตนอาจจะต้องทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมสภาฯ จึงเลือกเดินทางในเย็นวันพฤหัสบดีและพร้อมสำหรับการดูงานในวันศุกร์ เพราะฉะนั้นการดูงานในหน่วยงานราชการและเยี่ยมคารวะที่ประเทศสิงคโปร์จะเกิดขึ้นในวันศุกร์
ส่วนการดูงานตามสถานที่ต่างๆในวันเสาร์ – อาทิตย์ ก็จะมีการประสานผ่านสถานทูต เพื่อเข้าดูงานในสถานที่ต่างๆ โดยจะศึกษาให้รอบด้านก่อนเสนอไปยังรัฐบาล พรรคการเมืองต่างๆ และภาคประชาสังคม
"การที่เปิดเผยข้อมูล ทำให้ถูกตั้งคำถาม เปรียบเทียบไปยังหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งตนคิดว่าแต่ละหน่วยงานมีภารกิจที่แตกต่างกัน ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกหน่วยงาน แต่สิ่งที่เป็นธรรมกับประชาชน ในการไปดูงาน คือทุกหน่วยงานจะต้องตรวจสอบได้" นายปดิพัทธ์ กล่าว
ส่วนการเดินทางไปดูงานในครั้งนี้เป็นการเดินทางไปกระทันหันหรือเป็นการใช้งบประมาณแบบล้างท่อหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า การเดินทางใช้งบประมาณ 1 ล้านบาทเศษ ถ้าเทียบกับงบค้างจ่ายนั้นมีมากกว่า หากจะล้างท่อจริงตนก็น่าจะเดินทางไปประเทศที่ต้องใช้งบประมาณมากกว่านี้ การที่ใช้งบประมาณแค่นี้ไม่ถือเป็นการล้างท่อ และการเดินทางครั้งนี้วางแผนตั้งแต่ต้นเทอมในการทำหน้าที่ของตน โดยเราทำงาน ดูปัญหาก่อน แล้ววางแผนประเทศที่จะเดินทางไปดูงาน ซึ่งก็ตรงกับช่วงนี้พอดี ไม่ได้เป็นการใช้งบประมาณค้างจ่ายแต่อย่างใด
เมื่อถามว่าเหตุใดจึงไม่รอให้มีความพร้อมและมีคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะเดินทางไปดูงาน นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ในการวางแผนไปดูงานนั้นตนคาดการณ์ว่า น่าจะมีการตั้งกรรมาธิการเสร็จสิ้นแล้ว แต่ขณะนี้ก็ยังไม่แล้วเสร็จ หากรอจะต้องยืดโครงการนี้ออกไปก็ไม่ได้ เพราะหากจะยึดโยงกับรัฐบาลงานก็ไม่เดินหน้า อีกทั้งทางประเทศสิงคโปร์ก็ได้เตรียมพร้อมรองรับคณะจากไทยแล้วเช่นกัน
"เมื่อเปิดเผยแบบนี้ก็มีการคาดการณ์ไว้แล้วว่า จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ยืนยันว่า ทำถูกต้องตามระเบียบทุกประการ เพราะฉะนั้นจะไม่กระทบต่อการเดินทางอย่างแน่นอน พร้อมย้ำว่า ยังคงยืนยันนโยบายเดิมของพรรคก้าวไกลที่จะไม่ใช้จ่ายเงินของรัฐเกินความจำเป็น เพราะที่ผ่านมาการเดินทางไปดูงาน ไม่สามารถตอบกลับเป็นผลสัมฤทธิ์ได้ ดังนั้นต้องตั้งคำถามถึงผลสัมฤทธิ์และนโยบายการเดินทางไปดูงานของแต่ละหน่วยงานว่า ต้องประหยัดและคุ้มค่า ไม่ใช่วัฒนธรรมการดูงาน แต่เป็นเป้าประสงค์ของการดูงาน ซึ่งพรรคก้าวไกลเห็นตรงกับตนเองคือ ดูงานเท่าที่จำเป็นและสามารถตอบสังคมได้ หากสิ่งที่ตนทำแล้วได้รับการตรวจสอบ และสามารถพิสูจน์ได้ถึงผลลัพธ์ของการดูงาน ก็สามารถเปลี่ยนแปลงมาตรฐานของการดูงานต่างประเทศได้ " นายปดิพัทธ์ กล่าว