31 สิงหาคม 2566 ดร.มนพร เจริญศรี สส.นครพนม พรรคเพื่อไทย เปิดเผยกรณีมีรายชื่อเป็นรัฐมนตรีช่วย (รมช.) คมนาคมว่า กระแสข่าวที่ออกมาว่า ตนได้รับโบนัสจากพรรคเพื่อไทย เพราะมีการโค่นอำนาจคู่แข่ง เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง อยากให้ย้อนกลับไปดูผลงานที่ผ่านมา การทำหน้าที่ผู้แทนตลาดล่าง ตนไม่เคยขาดการลงพื้นที่ ไม่ว่าจะการบุญ งานบวช การแต่ง งานศพ ไม่เคยมองข้าม ไม่ว่าจะเวลาเท่าไร มีหลายครั้งที่ว่างจากการประชุมสภาฯ รีบเดินทางกลับนครพนม ไปโผล่กลางงานศพตอนเกือบเที่ยงคืนก็บ่อย เพราะจะเป็นโอกาสดี ที่จะเข้าไปใกล้ชิดรับทราบปัญหาจากชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ ถึงกระนั้นก็ยังมีบางคนกระแนะกระแหน หวังทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน สุดท้ายก็แพ้ภัยตัวเอง
สำหรับกรณีตนมีชื่อเป็นว่าที่ รมช.คมนาคม หลังชนะการเลือกตั้งชนะคู่แข่ง ไม่ใช่การให้รางวัลหรือโบนัส ที่ออกข่าวมาลักษณะนี้เป็นการบิดเบือน ทำให้เกิดความขัดแย้ง ฝากทุกฝ่ายรวมถึงสื่อมวลชนบางสำนัก เมื่อการเมืองจบเราอย่านำประเด็นความขัดแย้ง มาสร้างปัญหาทางการเมือง สำคัญที่สุดหลังการเลือกตั้ง ตนมองว่าพรรคเพื่อไทย จะต้องเป็นรัฐบาล บางจุดอาจจะไม่สมหวังทุกอย่าง แต่ต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง สิ่งไหนที่จะให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า จะต้องร่วมกันผลักดัน หัวใจสำคัญคือ นโยบายของพรรคเพื่อไทย จะต้องเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน และผู้แทนทุกคนจะต้องทำหน้าที่ทางการเมืองให้ดีที่สุด โดยยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง
“การที่ตนมีรายชื่อเป็นว่าที่ รมช.คมนาคม ไม่ใช่รางวัลแต่คือสิ่งที่ตนจะต้องพิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนเห็นว่า การทำงานกว่าจะมาถึงวันนี้ สิ่งสำคัญที่สุดประชาชน จะต้องได้รับการดูแลทั่วถึง ประเทศชาติจะต้องขับเคลื่อนการพัฒนา และเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว ได้อย่างแน่นอน เพราะทุกครั้งที่เป็นรัฐบาล ไม่เคยทำให้ประชาชนผิดหวัง และเป็นที่ยอมรับของประชาชนมาตลอด เพราะไม่เคยทิ้งประชาชน” ดร.มนพร กล่าวและกล่าวต่อ
ในเส้นทางการเมืองกว่า 30 ปี ตั้งแต่เข้ามาทำงานการเมือง ตั้งแต่ปี 2537 โดยเริ่มจากตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม (ส.อบจ.นครพนม) และได้รับตำแหน่ง รองนายก อบจ.นครพนม กระทั่งประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกตั้งให้เป็น นายก อบจ.นครพนม และขึ้นสู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อปี 2554 โดยสามารถรักษาพื้นที่ชนะเลือกตั้งมาถึง 3 สมัยติดต่อกัน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความซื่อสัตย์ต่อพี่น้องประชาชน ในการทำงานดูแลขับเคลื่อนนโยบาย ที่จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน ทุกครั้งที่มีการแข่งขันในสนามการเมือง ไม่เคยหิวกระหาย คิดช่วงชิงอำนาจทางการเมือง หรือชกใต้เข็มขัดเพื่อหวังโค่นคู่แข่ง ให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง ทุกอย่างวัดกันที่การยอมรับของประชาชนเป็นหลัก หัวใจสำคัญคือ ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จะต้องได้รับการแก้ไข เมื่อการแข่งขันทางการเมืองจบ ทุกอย่างจะต้องเดินไปข้างหน้า ไม่ว่าจะพรรคไหน ฝ่ายไหน จะต้องร่วมกันพัฒนาโดยก้าวข้ามความขัดแย้ง