16 สิงหาคม 2566 ต้องติดตามกันยาว ๆ สำหรับศึกระหว่าง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองจอมแฉ กับ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับการออกมา แฉเรื่องการซื้อขายที่ดิน สุขุมวิท 55 จนนำมาสู่การฟ้องร้องระหว่างทั้งคู่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ล่าสุด ที่สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หลังจากที่ยื่นฟ้อง นายเศรษฐา ทวีสิน เเละ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายเศรษฐา ที่ศาลอาญาแล้วเสร็จ ได้เดินทางมาที่สภาทนายความฯ โดยนำเอกสารมายื่นขอให้สอบมรรยาททนายความ ของ นายวิญญัติ ในกรณีที่เปิดเผย พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล ที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามกฏหมาย
ซึ่ง นายวิญญัติ ได้กระทำการใด ๆ ซึ่งไม่ได้รับอนุญาต ในการเปิดเผยข้อมูล อันเป็นสิทธิเสรีภาพ เช่นว่า ตนเคยต้องคำพิพากษา เกี่ยวกับการทุจริตในรายการทรัพย์สิน และหนี้สิน จึงเป็นบุคคลต้องคำพิพากษา เกี่ยวกับทรัพย์ และเกี่ยวกับการทำให้เสียทรัพย์ เมื่อหลายปีก่อน การกระทำและคำพูดดังกล่าว จึงเป็นการผิดมรรยาทของทนายความ
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า นายวิญญัติ คงทราบดีว่า การเป็ทนายความนั้น จะต้องไปสู้กันบนบัลลังก์ เอกสารหลักฐานต่าง ๆ ไม่ใช่จะพูดเปิดเผย หรือกล่าวต่อสาธารณะ ได้ทุกอย่าง เพราะตัวเองเป็นทนายความ และมีมรรยาททนายความกำกับอยู่ วันนี้จึงนำเอกสาร การให้สัมภาษณ์คำพูด ซึ่งอยู่ในการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มายื่นต่อสภาทนายความฯ
นายชูวิทย์ กล่าวว่า นายวิญญัติ จะเล่นการเมืองก็เล่นไป แต่ถ้าจะเล่นการเมืองด้วย และเป็นทนายด้วย ต้องแบ่งให้ถูก การเป็นนักการเมือง ถือเป็นอาสาสมัคร จะทำงานเพื่อประเทศชาติไม่มีใครว่า แต่เมื่อเป็นนักการเมืองด้วย และเป็นทนายความด้วย จะต้องว่าความเป็นยังไง จะต้องถูกกำกับด้วยมรรยาททนายความ จะไปพูดจาก้าวล่วงผู้อื่นไม่ได้
นายวิญญัติไม่รู้กฎหมายเลยหรือว่า มี พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จะไปเอาประวัติ คนอื่นมาพูด หากเป็นนักการเมืองก็พูดได้ เพราะไม่มีอาชีพ แต่เมื่อเป็นทนายความ ก็เท่ากับฝ่าฝืนอาชีพ เพราะทนายความควรรู้กฎหมายเป็นอย่างดี