ผลพวงจากการแบ่งขั้วแยกฝ่ายกันอย่างรุนแรง โจมตีด้อยค่าคู่แข่งทางการเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตาเพียงเพื่อเอาชนะการเลือกตั้ง เมื่อถึงเวลาต้องรวบรวมเสียงสมาชิกรัฐสภา
ฝ่ายผู้ชนะยังคงใช้วิธีแบ่งแยกอย่างรังเกียจ(discriminate) ยกตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ดูหมิ่นเหยียดหยามอีกฝ่ายว่าเป็นพวกสืบทอดอำนาจเผด็จการ ทำพิธีลงนามความร่วมมือ 8 พรรค ประกาศก้องว่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล เดินหน้าเปลี่ยนแปลงประเทศแบบขุดรากถอนโคน อย่างย่ามใจ
จากภาพรวมผลการเลือกตั้ง สส.2566 อาจวิเคราะห์เปรียบเทียบตำแหน่งของจุดยืนทางการเมือง นโยบายและแนวทางการทำงานของพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง จากซ้ายสุดไปสู่ขวาสุด (พร้อมจำนวนที่นั่งในสภา)
พรรคก้าวไกล (151), พรรคประชาชาติ (9),พรรคเป็นธรรม(1), พรรคเพื่อไทย (141), พรรคเพื่อไทยรวมพลัง(2),พรรคไทยสร้างไทย(6), พรรคเสรีรวมไทย(1), พรรคประชาธิปัตย์(25), พรรคชาติไทยพัฒนา(10), พรรคภูมิใจไทย(71), พรรคพลังประชารัฐ(40) และพรรคร่วมไทยสร้างชาติ(36) รวมทั้งพรรคขนาดจิ๋วอื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง
ผ่านการเลือกตั้ง สส.2566 มายาวนานกว่า 2 เดือน ได้ประธานรัฐสภาคนใหม่แล้ว เปิดประชุมรัฐสภาไปหลายครั้ง แต่ยังเลือกนายกรัฐมนตรีกันไม่ได้
ฝ่ายชนะ 2 พรรคใหญ่ที่อยู่สุดทางซีกซ้ายได้รับโอกาสจัดตั้งรัฐบาลก่อน ด้วยการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้ที่ประชุมรัฐสภาโหวตรับรอง แต่จนแล้วจนรอด ยังไม่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้เสียที เพราะทุกก้าวย่างล้วนมีปมปัญหาและอุปสรรค ทั้งยังต้องมนต์สะกดของตัวเองจนก้าวขาไม่ออก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ม.112 และคำประกาศสาธารณะในช่วงการหาสียงที่ว่า "มีลุง ไม่มีเรา" รวมทั้ง MOU กลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มพรรคการเมือง 312 เสียงกับ 188 เสียง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมย้ายข้างหรือเปลี่ยนจุดยืนทางการเมือง
เมื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและสูตรการจัดตั้งรัฐบาล "ซ้ายสุดขั้ว" ถูกรัฐสภาตีตกไปแล้วสองครั้ง ตราสังข์ที่ผูกมัดแนวร่วม 8 พรรคควรจบไปแล้ว ความพยายามที่จะดันข้อเสนอรัฐบาลสูตรเดิมกลับเข้ามาใหม่โดยเปลี่ยนจากปกสีส้มเป็นปกสีแดง ผลการโหวตก็คงไม่แตกต่างไปจากเดิม
การแยกขั้วแบ่งฝ่ายโดยมุ่งหมายเอาชนะคะคานกันแบบเด็กเล่นเรือนน้อย หรือ การเจ้าคิดเจ้าแค้นกันแบบไม่ลืมหูลืมตาจนบ้านเมืองไม่มีทางออก ล้วนไม่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ ทั้งยังเกิดผลเสียและทำลายโอกาสประเทศอย่างไม่น่าให้อภัย
ข้อเสนอแนะ
1.รัฐบาลที่พึงประสงค์ในสถานการณ์เช่นนี้ คงไม่ใช่รัฐบาล"ซ้ายสุดขั้ว" หรือ "ขวาอนุรักษ์" ที่ตั้งป้อม ห้ำหั่นเช็คบิลอีกฝ่ายหนึ่ง ทำสังคมแตกแยกมากไปกว่านี้ หากควรเป็นรัฐบาล"ขั้วผสมซ้ายกลาง" ที่นำโดยพรรคจากฝั่งซ้ายที่ได้รับการยอมรับและน่าเชื่อถือว่าจะสามารถนำพาประเทศให้ก้าวข้ามพ้นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อเรื้อรัง ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วขึ้น สร้างบรรยากาศของการสมานฉันท์ปรองดองและฟื้นฟูความรักสามัคคีของคนในชาติ
2.คนไทยส่วนใหญ่จะมีลักษณะ"ปฏิบัตินิยม"(pragmatic)และมีปรัชญาชีวิตในวิถีทางสายกลาง สิ่งที่สังคมไทยต้องการในยามนี้ คือ การลดความมีอคติที่มีต่อกันจากทุกขั้วทุกฝ่าย ลดความยึดมั่นถือมั่นในอุดมการณ์ความเชื่อส่วนตัวและกลุ่มองค์กรลงเสียบ้าง ถือเอาประโยชน์สุขของประชาชนและความมั่นคงของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
3.สถานการณ์บ้านเมือง สถานการณ์โลกและภาวะทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประเทศจำต้องมีรัฐบาลตัวจริงเสียงจริงขึ้นมาดูแลในเร็ววัน แต่กระบวนการได้มาซึ่งรัฐบาลที่ว่านี้ ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญและถูกครรลองครองธรรม จะใช้วิธีข่มขู่บังคับด้วยกำลังมวลชนนอกสภาและการบูลลี่ด้วยกระแสโซเชียลไม่ได้
4.ความตื่นตัวของ"คนรุ่นใหม่" และความต้องการ”เปลี่ยนแปลง” เป็นเรื่องดี ที่ควรรักษาระดับเอาไว้ให้เป็นกำลังพัฒนาประเทศ โดยต้องให้เกิดความมั่นใจว่าจะอยู่ในทิศทางและแนวทางที่สร้างสรรค์ ไม่บ่อนเซาะ กัดกร่อน ทำลายความมั่นคงของชาติบ้านเมือง นอกจากนั้นรัฐบาลที่รักชาติบ้านเมืองจะต้องถอนพิษ"มนต์ดำยุคดิจิทัล" อันเกิดจากเครื่องมือ AI IO Deep Fake
ไม่ปล่อยให้มีการขับเคลื่อนการเมืองด้วยกระแสความเกลียดชัง(hate speech)ได้อย่างอิสระเสรี กระตุ้นกำลังแห่งโลภะ โทสะ โมหะ อาฆาตมาดร้าย โกหกหลอกลวง รวมทั้งพฤติกรรมเป็นกบฏล้มล้าง
คดีความใด อันเป็นผลพวงจากการจงใจทำผิดและท้าทายกฎหมายในช่วงที่ผ่านมา ต้องได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักนิติรัฐและความยุติธรรม