13 กรกฎาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงหนึ่งของการอภิปรายคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา กล่าวขอให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ถอนคำพูดว่ามีศาลเตี้ยในรัฐสภาแห่งนี้ พร้อมชี้แจงว่าตนไม่ได้ทำอะไรที่ไม่เป็นกลาง พร้อมเปิดโอกาสให้นายพิธาชี้แจง
"ชัยธวัช" แจงจำเป็นต้องแก้ไขม.112 ก่อนกลายเป็นระเบิดการเมืองในอนาคต
นายพิธา ชี้แจงต่อข้อวินิจฉัยของประธานวุฒิสภาตรงกับที่ท่านพูดว่าจะมีศาลเตี้ยในรัฐสภาแห่งนี้ไม่ได้ ก็น่าจะเห็นตรงกันว่ากระบวนการที่จะวินิจฉัย ทั้ง ๆ ที่กระบวนการยังไม่สิ้นสุดมันเกิดขึ้นไม่ได้ ตนก็ไม่ได้มองว่าจะมีประเด็นอะไรที่มาประท้วงได้ แต่ตนเป็นผู้นำที่ลุกได้ ถอยเป็น ก็พร้อมที่จะถอน เพื่อประหยัดเวลา และให้รัฐสภาเดินหน้าต่อได้
นายพิธา ยังชี้แจงกรณีสมาชิกวุฒิสภาพาดพิงถึงตน ว่า เวลาตนลงพื้นที่มีประชาชนมากราบเท้า คิดว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมนั้น ซึ่งเห็นด้วยว่าไม่เหมาะสม และพยายามที่จะกราบเท้าประชาชนกลับ เพราะตนคิดว่าคนเท่ากัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้ และได้รับคำอธิบายว่าเป็นการบนบานศาลกล่าว ให้ตนได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ส่วนกรณีที่กล่าวหาว่าตนยุยงเด็กสนับสนุนเด็ก นายพิธา มองว่า ประเด็นนี้มีความสำคัญที่มองเห็นต่างกันของ สมาชิกรัฐสภาอาจจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ต่างกัน วัยวุฒิ และอายุที่ต่างกัน เยาวชนคนหนุ่มสาวสมัยนี้ยุยงปลุกปั่นไม่ได้หรอก เขามีความคิดเป็นของตัวเอง เขาเข้าถึงข้อมูลได้เยอะกว่าคนยุคเรา ถ้าสมมุติมันยุยงปลุกปั่นได้ด้วยข้อมูลและการชักจูง การโฆษณาชวนเชื่อ ตนคิดว่าค่านิยม 12 ประการที่เคยมีมาก็คงจะทำให้เขารู้สึกแบบนั้น แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจและคิดถึงตัวเองตอนอายุเท่านั้นว่าวิธีคิดการเข้าถึงข้อมูลต่างกับยุคเราอย่างไร
ส่วนการที่บอกว่าเราสนับสนุน และนำตำแหน่ง ส.ส.ไปประกันตัว ตนชี้แจงว่า สิทธิในการประกันตัว สิทธิในการเข้าถึงทนาย เป็นส่วนสำคัญในระบบยุติธรรม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นชาติพันธ์ที่โดนคดีทวงคืนผืนป่า หรืออะไรก็แล้วแต่ ส.ส.พรรคก้าวไกลก็มีหน้าที่ ทำให้เกิดเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการเข้าถึงทนาย และสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ไว้ก่อนถ้ายังไม่มีคำพิพากษาจนถึงที่สุด