
13 กรกฎาคม 2566 พลันที่มีเอกสารราชการหลุดออกมา เป็นสำเนาเอกสารฉบับหนึ่ง ระบุว่าเป็นกำหนดการประชุมเตรียมความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ ในวันพุธที่ 12 ก.ค.66 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมปารุสกวัน 1 อาคาร บช.น. (กองบัญชาการตำรวจนครบาล)
เอกสารดังกล่าวได้ ระบุ ระเบียบวาระการประชุมที่ 2 เป็นการรับทราบสถานการณ์การข่าวและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์และภัยคุกคาม (บช.ส.1) (กองบัญชาการตำรวจสันติบาล)
รวมไปถึงขั้นตอนการดำเนินการตามกฎหมาย กรณีมีผู้ต้องหาตามหมายจำคุกเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยเครื่องบินโดยสาร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง หรือสุวรรณภูมิ
นอกจากเอกสารวาระการประชุมดังกล่าว แต่ "ข่าวข้นคนข่าว เนชั่น ทีวี" ได้ข้อมูลเชิงลึกจากคนใกล้ชิด"ทักษิณ" ยืนยันว่า ครั้งนี้"ทักษิณ"กลับบ้านแน่นอน เพราะ
1.อายุมากแล้ว หากปล่อยเนิ่นช้าออกไป อาจจะไม่ได้กลับอีกเลย
2.เป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุด
-เดิมมีจังหวะที่ดีกว่านี้ คือ ชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย จะได้ฉันทามติจากประชาชน
-แต่เมื่อแพ้เลือกตั้ง โอกาสกลับบ้าน กลับดียิ่งกว่าเก่า เพราะเป็นการแพ้พรรคก้าวไกล ซึ่งถูกมองจากฝ่ายความมั่นคง และผู้ดูแลสถาบันหลักของชาติว่า "เป็นตัวอันตราย"
-การสกัด"ก้าวไกล"ไม่ให้มีอำนาจเร็วเกินไป อย่างน้อยในขณะนี้ มีทางเดียวคือต้องพึ่ง"พรรคเพื่อไทย" ด้วยการทำอย่างไรก็ได้ ให้เพื่อไทยเป็นรัฐบาลแทน
จากเหตุผลดังว่านี้ ทำให้"ทักษิณ"มีอำนาจต่อรอง และกลายเป็น "ฝ่ายเสนอเงื่อนไข" แทนที่จะเป็นฝ่าย "ขอและรอรับเงื่อนไข"
-ในห้วงเวลา 4 ปีนับจากนี้ น่าจะมีเพียง"พรรคเพื่อไทย"พรรคเดียวที่เข้มแข็งและมีความพร้อมมากพอที่จะต่อกรกับ"พรรคก้าวไกลได้" ส่วนพรรคอื่นแทบจะลืมไปได้เลย
3.ความชัดเจนว่าจะกลับบ้าน และการ "มีดีลทดสอบความจริงใจ" เห็นได้จากคดีสำคัญ และใหญ่มากคดีหนึ่ง เพิ่งมีข่าว ป.ป.ช.ยกคำร้อง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องข้อง
"บิ๊กนครบาล" แจงเอกสารหลุด ไม่ใช่ “แผนรับทักษิณ” ยันไม่มีคุกพิเศษ
4.เอกสารเกี่ยวกับการกลับบ้านของ"ทักษิณ" อยู่บนโต๊ะรองนายกฯท่านหนึ่งมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ที่ล่าช้าเพราะ "เงื่อนไขที่ทักษิณตั้ง" สูงลิบจนยากจะปฏิบัติตาม โดยเฉพาะเรื่องสถานที่คุมขัง และการเยี่ยม ซึ่งจะต้องให้ครอบครัวเยี่ยมได้ตลอด 24 ชั่วโมง / หลายเรื่องกฎหมายไม่เปิดช่อง ทำให้เกิดความล่าช้า
5. "ทักษิณ" บอกกับทุกคนว่า "ครั้งนี้ต้องกลับ" และยอมแลกทุกอย่าง ติดคุกบ้างก็ยอม คาดว่าจะเพราะรู้ตัวดีว่าเป็นโอกาสสุดท้ายจริงๆ แล้ว และตัวเองก็อายุมากเกินกว่าจะสู้รบปรบมืออยู่ต่างแดน
ที่สำคัญคือครอบครัว ลูกหลาน ก็อยากให้กลับ
การกลับบ้านของ"ทักษิณ" ส่งผลทางการเมืองอย่างลึกซึ้งแน่นอน
1.พรรคเพื่อไทยเดินมาถึงจุดเสี่ยงสำคัญ นั่นคือ การปะทะกับมวลชน “ด้อมส้ม” ซึ่งส่วนใหญ่ หรือจำนวนไม่น้อย เคยเป็นเสื้อแดง และผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาก่อน เพราะพรรคเพื่อไทยจะมีอำนาจเต็มได้ ต้องหักหลัง ฉีกสัตยาบันที่ทำไว้กับก้าวไกล ไม่ว่าจะสร้างสถานการณ์ให้พาไปอย่างไร แต่ทุกฝ่ายก็ดูออกว่า เป็นเกมการเมือง
นั่นหมายความว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยกำลังทำ เพื่อให้ "ดีลนี้สำเร็จ" คือการต้องสูญเสียมวลชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
2.จากสถานการณ์ในข้อ 1 ทำให้"พรรคเพื่อไทย"ยิ่งฟื้นตัวยาก และสู้กับก้าวไกลยากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่ว่าจะอีกกี่ปีข้างหน้า อาจจะ 2 ปี 3 ปี หรือ 4 ปี เพราะก้าวไกลยังสดกว่า
3."เพื่อไทย"จะถูกจัดกลุ่มใหม่เป็น "อนุรักษ์นิยม" แม้จะเป็น neo-conservative แต่ก็จะอยู่คนละฝั่งกับก้าวไกล ฐานเสียงก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ตามวัย แต่ฐานเสียงประเภท new voter กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี แถมคนกลุ่มนี้ยังสื่อสารกับก้าวไกลเข้าใจว่า ถูกจริตกว่า ย่อมทำให้เพื่อไทยยิ่งลำบาก
4.ทั้งหมดคือตัวบีบให้ "เพื่อไทย" จำเป็นต้องช่วงชิงอำนาจรัฐมาไว้ในครอบครองแบบเบ็ดเสร็จ (นอกเหนือจากดีล"ทักษิณ"กลับบ้าน) เพราะอาจเป็นการจัดตั้งรัฐบาลครั้งสุดท้าย เนื่องจากโดยทิศทางแล้ว การเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อไทยก็สู้ก้าวไกลยาก
ฉะนั้นทางรอดทางเดียว คือ ชิงอำนาจรัฐไว้ในมือก่อน จากนั้นต้องเบียดก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน เพื่อไม่ให้แชร์ผลงานของตน ด้วยหวังว่าหากทำผลงานได้ดีในช่วง 4 ปีนี้ จะได้ต่ออายุเป็นรัฐบาลอีก 1 สมัย หรือพลิกเกมมาอยู่เหนือก้าวไกลได้บ้างในอนาคต