
26 มิถุนายน 2566 น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งมาร่วมประชุมคณะทำงานสันติภาพชายแดนใต้ ครั้งที่ 3 ที่พรรคประชาชาติ เปิดเผยว่า วันนี้( 26 มิ.ย.) จะมาขอบคุณพรรคประชาชาติเป็นการเฉพาะ เพราะเป็นพรรคการเมืองแรก ที่รับร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย ยื่นเข้าสู่สภาฯ เพื่อพิจารณาเป็นพรรคแรก เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งกว่าจะผ่านกระบวนการ ส.ส. ส.ว. ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ก็ใช้เวลานาน แต่ตอนนี้กฎหมายบังคับใช้ทั่วประเทศ มีการติดกล้องบันทึกการจับกุม การส่งตัวต่อพนักงานสอบสวน เพื่อสิทธิ์ของประชาชนทุกคนที่ถูกจับทั่วประเทศ เป็นประโยชน์กับทุกคน
น.ส.พรเพ็ญ กล่าวต่อ นอกจากนี้ยังมาเป็นผู้สังเกตการณ์ ในการประชุมเรื่องสันติภาพชายแดนใต้ มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการใช้กฎหมายพิเศษ หรือข้อเสนอจากภาคประชาชน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ในการเตรียมการรองรับข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ และหวังว่าเสียงนี้จะไปถึงรัฐบาลใหม่ จะ 100 วันแรก หรือ 1 ปี ก็อยากให้ไม่เหมือนเดิม รวมถึงข้อเสนอที่เกี่ยวกับชีวิต ทรัพย์สิน ความปลอดภัย วัฒนธรรม สิทธิ์ในการแสดงออกของประชาชนให้เปลี่ยนแปลงไป
“วันนี้มีเรื่องวาระการประชุมเฉพาะเรื่องสังคม วัฒนธรรม ในมุมนักสิทธิมนุษยชน ในเรื่องการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการจำกัดสิทธิ์ทางวัฒนธรรม การแต่งกายชุดมลายู การพูดภาษามลายู การเมืองวัฒนธรรมเป็นเสรีภาพที่ควรทำได้ และเป็นส่วนสำคัญในการเขียนนโยบาย เพราะหลายครั้ง บ้านเมืองเอากฎหมายมาเป็นกรอบในการแสดงออก ซึ่งบางกฎหมายอาจละเมิดสิทธิมนุษยชนในบางเรื่อง”
ส่วนกรณีการแจ้งความกลุ่ม “ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” นักกิจกรรมทางการเมือง และนักการเมืองนั้น มองว่า การพูดคุยเรื่องรูปแบบการเมืองการปกครองมีได้ในทุกมิติทุกที่ ซึ่งเป็นสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในการแสดงออกทางความคิดเห็น บางประเทศเอาเรื่องนี้มาออกแบบเป็นกฎหมายอาญา ก็ต้องแก้ไข ถ้าหมิ่นประมาทผู้ใดผู้หนึ่ง หรือขัดต่อกฎหมายใด ต้องมาคุยกัน หากผิดทางแพ่งก็ฟ้องทางแพ่ง แต่การตั้งหลักดำเนินคดีอาญากับผู้ที่แสดงความเห็นนั้นไม่ได้
“การแสดงออกมีหลายรูปแบบ เราเคยแสดงออกในการรณรงค์เรื่องการป้องกันการทรมานอุ้มหาย ก็เคยโดนคดีจากทาง กอ.รมน. ซึ่งสุดท้ายเขาก็ถอนแจ้งความ ครั้งนี้จึงมองว่าคดีนี้ก็คงถอนฟ้อง แต่การตั้งหลักฟ้องในขณะที่รอรัฐบาลใหม่ เป็นการฉวยโอกาสที่ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบในการใช้สิทธิเสรีภาพ”
ส่วนการแจ้งข้อหากบฏ หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 1 กับกลุ่มนักศึกษา ส่งผลอย่างไรนั้น น.ส.พรเพ็ญ ชี้แจงว่า การตั้งข้อหาลักษณะนี้มีมา 18 ปีแล้ว ในคดีความมั่นคงกว่าพันคดี ทนายต้องต่อสู้ว่าไม่ใช่ข้อหากบฏ โดยคดีนี้น่าสนใจเพราะไม่มีข้อหาเรื่องความรุนแรง แต่เป็นเรื่องของความคิดเห็นทั้งหมด มีหลายขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมที่ต้องฝ่าไปให้ได้ ทั้งตำรวจ ศาล กอ.รมน. จะเลือกไม่สั่งฟ้องก็ได้
“เราอยู่ในประเทศที่ล้าหลัง ที่ต้องการประชาธิปไตยในการก้าวข้ามความขัดแย้ง การเอาคดีแบบนี้มาให้นักกิจกรรม คงเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อทำให้กลัว แต่ในยุคนี้คงยากแล้ว รวมถึงการใช้ความรุนแรงก็ไม่ใช่ทางออก เหมือนกับการฟ้องคดีมาตรา 112 ที่ฟ้องไปก่อน ทำให้เราไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการออกแบบการแก้ไขปัญหาได้”
น.ส.พรเพ็ญ ยังกล่าวอีก ตนมีความเป็นห่วงกับการฟ้องคดีครั้งนี้ เพราะความรุนแรงทางกายภาพในพื้นที่ยังมี มีคู่ขัดแย้งค่อนข้างชัดเจน จึงอยากส่งเสริมให้คนที่เชื่อมั่นกระบวนการในรัฐสภาที่ไปออกเสียงเลือกตั้งมาแล้ว อยากให้ทางทหาร กอ.รมน. หน่วยงานความมั่นคง เชื่อในกระบวนการทางการเมืองรัฐสภา อย่าไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหากบฏ ในระหว่างที่เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน