13 มิถุนายน 2566 การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ที่ประชุมเตรียมพิจารณาวาระต่าง ๆ หลายเรื่อง และต้องจับตาข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมด้วยว่า นายกฯ จะมีเรื่องอะไรที่เป็นข้อสั่งการพิเศษ หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศยังคงร้อนแรง
ที่น่าจับตาคือวาระเพื่อพิจารณาของ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แผนปฏิบัติการปรับลดพื้นที่การประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ห้วงปี 2566-2670 (ฉบับแก้ไข)
ภายหลังจาก คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.) ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เห็นชอบให้การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ยังคงมีความรุนแรง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ยกเว้น อ.ศรีสาคร อ.สุไหโกลก อ.แว้ง อ.สุคิริน จ.นราธิวาส, อ.ยะหริ่ง อ.มายอ อ.ไม้แก่น อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี และ อ.เบตง อ.กาบัง จ.ยะลา ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย.2566 ออกไปจนถึงวันที่ 19 ก.ย. 2566
โดยเป็นการขยายเวลาครั้งที่ 72 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และเป็นการป้องกัน ระงับ ยับยั้งเหตุการณ์ในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาความสงบ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำคณะผู้บริหาร เข้าพบนายกฯ เพื่อประชาสัมพันธ์และรายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับเครื่องโทคาแมค TT-1 (Thailand Tokamak I) เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันเครื่องแรกของไทย
สำหรับวาระเพื่อพิจารณา 2 เรื่อง
กระทรวงการคลัง เสนอการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่คู่สัญญา ในการขายที่ราชพัสดุที่ตกเป็นของแผ่นดิน ตามคำพิพากษาของศาล
สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แผนปฏิบัติการปรับลดพื้นที่การประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ห้วงปี 2566-2670 (ฉบับแก้ไข)
ส่วนวาระเพื่อทราบ มีดังนี้
กระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงอุตสาหกรรม