
8 มิถุนายน 2566 หลังจากเว็บไซต์ “ราชกิจจานุเบกษา” เผยแพร่ ระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน พ.ศ. 2566 เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2566 ประกาศฉบับดังกล่าวถูกโยงไปถึงการประกาศกลับบ้านในเดือนกรฏาคมของ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตรงกับเดือนเกิดของเจ้าตัว ทั้งที่ยังมีคดี ซึ่งต้องคำพิพากษาให้จำคุก ที่รอให้มารับโทษ หรือนี่คือการ “เปิดบ้าน” ให้คุมขัง “ทักษิณ” แทน “ในเรือนจำ”
ประเด็นนี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก่อนที่จะลาออกกลับพรรคเพื่อไทย เคยให้สัมภาษณ์ว่า พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ปี 2560 เริ่มร่างเมื่อปี 2558 เพื่อปฏิรูปงานราชทัณฑ์ ด้วยการยกเลิก พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ปี 2479 ซึ่งใช้มา 80 ปี โดยขณะนั้น ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากเข้ามาเมื่อปี 2562
การออกกฎกระทรวงใหม่ ก็เป็นขั้นตอนสืบเนื่องจากการออก พ.ร.บ.ฯ เมื่อประกาศใช้ ปี 2560 ส่วนราชการเจ้าของกฎหมาย ก็ต้องยกร่างกฎกระทรวงใหม่ โดยได้เริ่มยกร่างมาตั้งแต่ พ.ร.บ.ยังไม่ประกาศใช้ ซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 3 ปี จากกรมราชทัณฑ์ ไปกระทรวง ส่งให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา แล้วส่งไปให้กฤษฎีกาตรวจร่าง แล้วจึงส่งคืนมาให้ ตนลงนาม ในปี 2563
ส่วนที่มีการกำหนดสถานที่อื่น ที่ไม่ใช่เรือนจำนั้น เจตนาของกฎหมาย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ต้องขังบางประเภท ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเรือนจำ อันเป็นเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม และทางด้านการปกครองเรือนจำเป็นสำคัญ เช่น ผู้ต้องโทษระยะสั้น ผู้ใกล้จะพ้นโทษ ผู้ป่วย แต่ไม่ใช่นักโทษเข้าใหม่แต่อย่างใด
จะเห็นได้ว่า ขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมด ได้เริ่มมาตั้งแต่ ปี 2560 ก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่ง ดังนั้นการเชื่อมโยงไปถึงนายทักษิณ เป็นการสร้างความเข้าใจที่คาดเคลื่อน เป็นไปไม่ได้ที่กล่าวหาว่า มีการดีไซน์เรื่องนี้ ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อรองรับนายทักษิณ
ขณะที่วันนี้(8 มิ.ย.) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน 2566 ว่าในกฎหมายไทย มีโทษ 5 อย่างคือ
โดยการลงโทษแบบกักกันไม่ได้อยู่ในกฎหมายนี้ แต่เป็นสิ่งที่เราเรียกว่าวิธีการเพื่อความปลอดภัย และไม่ใช่โทษ แต่ติดปัญหาที่ว่าการกักกันจะใช้พื้นที่ไหน กรมราชทัณฑ์จึงได้มีการออกระเบียบดังกล่าวออกมาใช้ ในกรณีเช่นเด็กและเยาวชน ศาลสั่งกักกัน จะที่บ้านกับผู้ปกครองได้ ซึ่งหลักการมีแค่นี้ แต่หลายคนเอาเรื่องนี้ไปโยงกับโทษ ที่นักโทษกลับเข้ามามอบตัว แล้วเอาไปกักกันที่บ้าน ซึ่งเป็นคนละอย่างกัน ใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้ เนื่องจากถูกลงโทษไม่ใช่ถูกกักกัน
ด้านนายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์และโฆษกประจำกรมราชทัณฑ์ ชี้แจงว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะประเด็นของ “ผู้ถูกกักขัง” ไม่ใช่หมายถึง “ผู้ต้องขัง” หรือ ผู้ที่ศาลพิพากษาให้จำคุก อีกทั้ง ประเด็น “การกักกัน” นั้นเป็นมาตราเพื่อความปลอดภัยที่ศาลสามารถพิจารณาได้ และเพื่อให้สอดรับกับ “พระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.2565” ที่กำหนดให้ กรมราชทัณฑ์ ดูแลผู้ที่ศาลสั่งให้คุมขังหลังพ้นโทษ หรือ คุมขังฉุกเฉิน จึงต้องปรับปรุงระเบียบให้เหมะสมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน
อาจารย์คมสัน โพธิ์คง รองอธิกรบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงประเด็นเดียวกันว่า “ระเบียบใหม่ของกรมราชทัณ์ว่าด้วย การปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน ไม่สามารถนำมาใช้กับคดีของ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้ เพราะในคดีที่พิพากษาแล้ว ศาลสั่งให้ลงโทษจำคุก ไม่ใช่ “กักกัน”
พร้อมอธิบายว่า เมื่อดูตามคำนิยามของ ระเบียบใหม่กรมราชทัณฑ์ ให้ความหมายของ “ผู้ถูกกักกัน” คือ “ผู้ซึ่งถูกศาลพิพากษาให้กักกัน” ดังนั้นต้องยึดคำพิพากษาของศาลเป็นหลัก และเมื่อย้อนไปดูที่กฎหมายแม่ คือ “พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2510” ที่ให้อำนาจ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ออกระเบียบใหม่ มีเงื่อนไขของการข้อ 12 ว่าด้วยการลดหย่อนโทษกักกัน พบว่า มีเงื่อนไขที่ต้องผ่านการรับโทษกักกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ใน 3
ถ้าย้อนไปดูที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตราที่เกี่ยวข้องกับการ “กักกัน” มีอยู่ 4 มาตรา ตั้งแต่ มาตรา 39- 42 โดย “กักกัน” นั้นถูกกำหนดให้เป็นวิธีการ 1 ใน 5 เพื่อความปลอดภัย และยังจำเพาะลักษณะอีกว่า กักกัน คือการควบคุมผู้กระทำความผิดติดนิสัย ไว้ภายในเขตที่กำหนด เพื่อป้องกันกระทำความผิด, ดัดนิสัย และเพื่อฝึกหัดอาชีพ ซึ่งกำหนดลักษณะความผิดไว้ติดนิสัยไว้ เช่น เกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน, ก่อให้เกิดภัยอันตรายกับประชาชน, ความผิดเกี่ยวกับเพศ, ความผิดกับชีวิต, ต่อร่างกาย, ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ เป็นต้น
“คดีของคุณทักษิณที่ ศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก เป็นคดีในเรื่องทุจริต ดังนั้นจึงไม่เข้าข่ายใดๆ กับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกักกัน ยกเว้นจะไปขอศาลให้เปลี่ยนคำพิพากษาลงโทษ ซึ่งอยู่ที่ศาลว่าจะเปลี่ยนให้หรือไม่ หากคุณทักษิณกลับประเทศไทยวันนี้ หรือวันไหน ยังไงต้องรับโทษจำคุกในเรือนจำก่อน” อ.คมสัน กล่าวพร้อมทั้งประเมินว่า
“นาทีนี้ คุณทักษิณ จะไม่กลับบ้านตามที่เคยบอกไว้ เพราะเข้ามาก็ไม่คุ้ม และเหนื่อย อย่างไรต้องติดคุกก่อน ส่วนจะขอรับพระราชทานอภัยโทษนั้น ต้องปฏิบัติให้ครบเงื่อนไขของกรมราชทัณฑ์หรือที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้ ดังนั้นแค่การออกระเบียบใหม่ของกรมราชทัณฑ์ แล้วพูดไปว่าเอื้อให้คุณทักษิณ ผมมองแล้วว่า ไม่น่าจะใช่ และนาทีนี้ ครอบครัวของคุณทักษิณคงไม่อยากให้พ่อกลับมาติดคุก”
ด้าน รศ.พัฒนะ เรือนใจดี นักวิชาการคณะนิติศาสต์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า ประเด็นระเบียบใหม่ของกรมราชทัณฑ์ ว่า ขอให้ความเป็นธรรมกับหน่วยงานด้วย เพราะระเบียบที่ออกมานี้ เพื่อแก้ปัญหา ซึ่งเป็นปัญหาที่พูดกันอย่างยาวนาน 40- 50 ปี และเป็นไปตามอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยาสมัยใหม่ ที่ว่าด้วย การเยียวยา การลดนักโทษในเรือนจำ ลดความสิ้นเปลืองงบประมาณ การพักโทษ ติดกำไลอีเอ็ม
“ที่พูดกันว่า เป็นระเบียบที่ให้จำคุกอยู่บ้านนั้น ไม่ใช่ เพราะ การจำคุกไม่ใช่ การ กักกัน การจำคุก คือ การจองจำในเรือนจำ ส่วนผู้ที่ถูกกักกัน นั้น ต้องเป็นผู้ต้องโทษที่ศาลสั่งให้กักกัน ส่วนที่ตีความมาตรา 36 ของระเบียบใหม่ ที่ระบุว่า ผู้ถูกกักกันมีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อส่งผู้กักกันไปยังสถานที่ ที่ผู้กักกันประสงค์ หรือ ถวายฎีกา เป็นสิทธิพื้นฐานอยู่แล้ว แต่ต้องมีเงื่อนไขหรือรับการกักขังมาแล้วในระยะเวลาเท่าใด” รศ.พัฒนะ กล่าวและกล่าวต่อ
ระเบียบใหม่ของกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกันนั้น ต้องเข้าใจว่าการกักกัน คือลักษณะลงโทษที่เป็นวิธีการเพิ่มความปลอดภัย ตามแนวคิดอาชญวิทยาสมัยใหม่ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับ คำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก
หากจะโยงเพื่อให้เอื้อกับคุณทักษิณ ต้องพิจารณาว่า คุณทักษิณนั้นเข้าเงื่อนไขอะไรมาแล้วบ้าง ซึ่งคำพิพากษาของศาลที่ลงโทษคุณทักษิณให้จำคุกนั้น ยังไม่เริ่มต้นนับหนึ่งเลย ตามระเบียบของหน่วยงานต้องรับโทษมาระดับหนึ่งแล้ว ที่จะเข้าเงื่อนไขต่างๆ แต่นี่ยังไม่ได้เริ่มอะไรเลยแล้วจะบอกว่า กลับมาติดคุกที่บ้าน ตนมองว่าไม่เป็นธรรมกับผู้ที่ถูกกักกัน
เมื่อน้ำใส ก็มีข่าวหลุดจากโต๊ะอาหาร “ครอบครัวชินวัตร” ทันทีว่า ยังไม่อยากให้คุณพ่อกลับ