เสียงไชโยโห่ร้องกองเชียร์หรือที่เรียกกันตามประสาอินเทรนด์ว่า เหล่า"ด้อมส้ม" ปรากฎขึ้นทุกพื้นที่ ในจังหวะ ที่"พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมบรรดาว่าที่ส.ส.ขึ้นรถแห่ ตระเวนขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ลงคะแนนสนับสนุนในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
"พรรคก้าวไกล"ได้รับชัยชนะจากส.ส.ระบบเขต รวมถึงคะแนนป๊อบปูลาโหวต 14 ล้านเสียง ทำให้ได้จำนวนส.ส.ทั้งสองระบบรวมกันถึง 151 ที่นั่ง แซงพรรค"เพื่อไทย" ที่เคยตั้งเป้าหมายจะแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน ตกมาเป็นอันดับสองโดยทันที
"พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" จึงได้รับโอกาส จากพันธมิตรทางการเมือง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย และพรรคการเมืองขนาดเล็กอีก 4 พรรค รวม 313เสียง สนับสนุนให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
แม้ตอนนี้จะมีการรวมเสียงได้มากถึง 313 เสียง ซึ่งถือเป็นรัฐนาวาในฝันที่แข็งแกร่ง แต่ทว่า จำนวนเสียงเพียงเท่านี้ ยังไม่สามารถเป็นตราประทับรับรอง "พิธา" ให้เป็น"นายกรัฐมนตรีคนที่ 30" ของประเทศได้ เพราะโดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องอาศัยเสียงจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งหรือ 376 เสียง ซึ่งถ้าคำนวณจากคณิตศาสตร์ทางการเมือง พรรคก้าวไกลยังต้องเสาะแสวงหาแนวร่วมจากสภาถึง 60 เสียง ซึ่งแม้ว่าจะมีสว.บางส่วน พร้อมโหวตสนับสนุน 10-12 เสียงแต่ก็ไม่เพียงพออยู่ดี
แต่กว่าจะไปถึงขั้นการโหวตหาเสียงสนับสนุนที่ว่ายากแล้ว ณ ตอนนี้ "พิธา" และ"พรรคก้าวไกล" ยังต้องเผชิญกับนโยบายที่ตนเองเคยหาเสียงไว้ นั่นคือการแก้ไขหรือยกเลิก"ประมวลกฎหมายวิอาญามาตรา 112" จนทำให้ พรรคร่วมพันธมิตร ไม่ยินดีด้วยที่จะให้การสนับสนุน เช่นเดียวกับสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่อาจไว้วางใจได้ แม้ฝ่ายก้าวไกล จะออกมาบอกว่า ไม่มีการยกเลิก"มาตรา 112" ในชั้นนี้ก็ตาม
นี่จึงเป็นอีกเด็ดล็อกจนทำให้การจัดทำเอ็มโอยู ที่จะมีการแถลงในวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 เป็นไปด้วยความอึมครึม
แต่หากการจัดทำ "เอ็มโอยู" โดยปราศจากข้อเสนอแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 รวมถึง"พรรคก้าวไกล"รับข้อเสนอของพรรคต่างๆลงในเอ็มโอยูครบถ้วน และการจัดสรรเก้าอี้รมต.ลงตัว ก็อาจเป็นสัญญาณเปิดประตูสู่ด่านการ"โหวตนายกฯ"ในที่ประชุมรัฐสภาได้
แต่อย่างที่กล่าวข้างต้นจำนวนเสียงยังไม่สามารถหาได้ถึง 376 เสียง ต้องสะดุดอยู่ตรงนั้นอยู่ดี
ไม่เพียงเท่านั้น ขวากหนามสู่ เก้าอี้นายกฯ ของ"พิธา" ยังต้องรอการชี้ขาดคดีร้อน กรณีที่มีคำร้อง "พิธา" ถือหุ้นสื่อไอทีวี ขัดต่อคุณสมบัติการเป็น ส.ส. ซึ่งต้องจับการทำงานของกกต.จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร และจะส่งเรื่องสู่ศาลรธน.เมื่อใด หากศาลรธน.รับคำร้องก่อนที่จะมีการรับรองผลการเลือกตั้งของ"พิธา"และยังได้โหวตเลือกนายกฯจะมีปัญหาตามมาอีก
จะมีคำถามทางข้อกฎหมายตามมา เมื่อมีการเปิดสภาจะยังสามารถเสนอชื่อ"พิธา" เป็นแคนดิเดตฯของพรรคก้าวไกล เพื่อโหวตเป็นนายกฯได้หรือไม่
เพราะแคนดิเดตนายกฯตามมาตรา 88 ต้องมีคุณสมบัติเทียบเท่าคนที่จะเป็นรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 ซึ่งหนึ่งในคุณสมบัติที่ว่านั้น ก็คือไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. นั่นเอง นั่นก็คือ ( 3 ) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
ในเมื่อปมปัญหาคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตยังมีปัญหา ต้องรอศาลรธน. วินิจฉัย แม้ "พรรคก้าวไกล" และพรรคที่สนับสนุน"พรรคก้าวไกล" จะดันให้โหวตให้ได้ แต่ ส.ว.ก็จะมีเหตุผลในการปฏิเสธการโหวต และงดออกเสียง รวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่พรรคที่ได้รับเชิญเข้าร่วมรัฐบาลด้วย จะมีเหตุผลในการไม่โหวตปิดสวิตช์ ส.ว. เพราะแคนดิเดตฯของ"ก้าวไกล"ยังมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ
เมื่อ "พรรคก้าวไกล" มีปัญหาในการจัดรัฐบาล ในฐานะพรรคอันดับ 1 "พรรคเพื่อไทย" ในฐานะพรรคอันดับ 2 ย่อมมีสิทธิ์จัดรัฐบาลแทนหรือไม่ โดยอ้างเหตุผลว่า ประเทศไม่มีรัฐบาลไปนานๆ จะยิ่งกระทบเศรษฐกิจ ตามที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้เร่งตั้งรัฐบาลอยู่ในขณะนี้
นี่เป็นเส้นทางวิบากกรรม ของ"พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ที่ดูแล้วไม่ได้โรยกลีบกุหลาบ และอาจเหยียบหนามกุหลาบระหว่างทาง
จะสามารถฝ่าด่านขึ้นสู่บัลลังก์ไทยคู่ฟ้า หรือจะเป็นได้แค่"ว่าที่นายกฯในฝัน" คงต้องติดตาม