การชิงบัลลังก์สร.1 แห่งตึกไทยคู่ฟ้าหลังการทราบผลคะแนนเลือกตั้งส.ส.14 พฤษภาคม เสร็จสิ้นลง คณะกรรมการการเลือกตั้ง"กกต." มีเวลาหกสิบวันในการรับรองผลอย่างเป็นทางการ
แต่ภายในค่ำคืน ของวันที่ 14 พฤษภาคม พอจะทราบคร่าวๆแล้วว่า พรรคใด, แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนไหน มีลุ้นเข้าไปนั่งบัญชาการ ณ เลขที่1 ถนนนครปฐม เขตดุสิต กทม.
กว่าจะถึงขั้นตอนนั้น อย่ามองข้ามการเสนอชื่อบุคคล ที่สมควรปฏิบัติหน้าที่"ประธานสภาผู้แทนราษฎร"จากสองฝั่งการเมืองเพราะหากทราบแล้วว่า ฝ่ายใดเสนอบุคคลใดรับหน้าที่ประธานสภาผู้แทนฯ (พรรคต่างๆจะรวบรวมเสียงข้างมากเป็นหลักในการเสนอชื่อ) ฝ่ายนั้นๆจะมีโอกาสมากกว่าที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่จะร่วมลงมติกับ 250 ส.ว.ในวาระถัดไป
นาทีนี้หลายฝ่ายประเมินโอกาสที่สองฝั่งการเมืองคือ ขั้วรัฐบาลเดิม (พรรคพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนากล้า รวมไทยสร้างชาติ ) กับขั้วฝ่ายค้าน (พรรคเพื่อไทย ก้าวไกล ประชาชาติ เสรีรวมไทย เพื่อชาติ ไทยสร้างไทย ) จะแตะมือในขั้วเดิมหรือสร้างสูตรใหม่บนถนนการเมืองสำหรับสี่ปีข้างหน้า
โอกาสเหล่านั้น จะอยู่กับขั้วใด พรรคไหนจะเป็นตัวแปรหลักสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ และสูตรการจับมือของพรรคต่างๆนั้นจะเกิดจากโอกาสใดบ้างบนเส้นทางรัฐศาสตร์คือ สายสัมพันธ์ระหว่างพรรคต่างๆที่มีอยู่เมื่อสี่ปีที่แล้วและโอกาสบนเส้นทางคณิตศาสตร์คือ ตัวเลขส.ส.สองระบบที่แต่ละพรรคกุมไว้ในมือ
สูตรการตั้งรัฐบาลใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้น ( ไล่เรียงความเป็นไปได้ของโอกาสจากมากไปหาน้อย )
สูตรที่1 พรรคเพื่อไทย + ก้าวไกล + ไทยสร้างไทย + เสรีรวมไทย + ประชาชาติ
สูตรนี้มาจากขั้วฝ่ายค้านเดิม และเป็นสูตรพื้นฐานที่สุดในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงหาเสียงที่หลายพรรคประกาศไม่จับมือกัน เช่น "พรรคเพื่อไทย" ยืนยันไม่ร่วมงานกับ"พลังประชารัฐ" และ รวมไทยสร้างชาติ" หรือแม้แต่การต่อต้านนโยบายกัญชาเสรีและการขวางการจองกระทรวงต่างๆที่แกนนำพรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณไปยังพรรคภูมิใจไทย
แต่ตัวแปรที่น่ากังวลสำหรับสูตรนี้คือ จังหวะของ"พรรคก้าวไกล"ที่แสดงตัวแบบสายล่อฟ้าในหลากวาระหาเสียง ( ยกเลิก-แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ,ปฏิรูปกองทัพ , การปรับลดสวัสดิการบำนาญข้าราชการ( งบช้างป่วย, จองสี่กระทรวงหลักไว้ทำงาน )
แม้ตอนหลังแกนนำพรรคจะออกมาชี้แจงแก้ต่างกับวาทกรรมการเมืองที่เคยระบุ ไว้ในช่วงก่อนหน้านั้นก็ตาม และอย่าลืมวาทกรรมทิ่มแทง"เพื่อไทย"จากขุนพลพรรคสีส้มด้วยว่า "สู้ไปกราบไป..."
แกนนำ"พรรคสีส้ม" ย้ำเสมอว่า "พรรคเพื่อไทย"จับมือกับ"พรรคก้าวไกล" ได้ แต่เอาเข้าจริงแล้วสองพรรคนี้ปะทะกันหนักในช่วงหาเสียงเพื่อชิงคะแนนกันเอง และไม่กี่นาทีข้างหน้าจะรู้ว่า"สีแดง-สีส้ม" สีใดร้อนแรงกว่ากัน และเอาเข้าจริงแล้ว"เพื่อไทย"กล้าพอที่จะเชิญพรรคสีส้มที่พกระเบิดเวลาติดตัวไว้ให้มาร่วมงานด้วยหรือ...
สูตร1.1 พรรคเพื่อไทย + ไทยสร้างไทย + เสรีรวมไทย + ประชาชาติ +พรรคอื่นๆ
คณิตศาสตร์การเมืองสูตรนี้ ยังยึดสายสัมพันธ์ของขั้วฝ่ายค้านเดิม แปรเปลี่ยนเพียงตัวเลข ส.ส. และตัดพรรคสีส้มออกไป หาก"เพื่อไทย" คว้าได้ทะลุเป้าที่วางไว้ หรือใกล้เคียง เมื่อบวกกับพรรคอื่นๆในขั้วฝ่ายค้านและอาจเชิญบางพรรคที่พร้อมแตะมือกับทุกขั้ว เช่น อาจดึง"พรรคชาติพัฒนากล้า","พรรคชาติไทยพัฒนา" มาร่วมงานเพื่อให้ทะลุ 310 เสียงในชั้นต้น และหากเป็นเช่นนี้ "เพื่อไทย" ไม่จำเป็นต้องแบกรับความเสี่ยงในการนำพรรคสีส้มร่วมรัฐบาลใหม่
และอาจมีปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา คือ"เพื่อไทย" เชิญ"พรรคประชาธิปัตย์"มาร่วมรัฐบาล เพราะไม่นานมานี้ มีกระแสว่ามีโอกาสที่พรรคสีฟ้าจะมาแตะมือตั้งรัฐบาลกับพท.แต่มีเงื่อนไขห้ามนิรโทษกรรมหรือเอื้อผลในทางคดีกับ"ทักษิณ ชินวัตร" เด็ดขาด
สูตร2 เพื่อไทย + พลังประชารัฐ + ไทยสร้างไทย + เสรีรวมไทย + ประชาชาติ
สูตรนี้เป็นการจับมือข้ามขั้ว ระหว่าง 2 พรรคการที่ถือไพ่คนละใบ คือ พรรคเพื่อไทย ซึ่งครองเสียง ส.ส.ข้างมาก กับ "พลังประชารัฐ" ของ" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" ผู้มากบารมีการเมืองในตอนนี้ และคอนเน็กชั่น ที่จะต่อสายไปยังสภาสูงค่อนข้างลำบาก และกูรูการเมืองบางคนเชื่อกันว่า "ลุงป้อม"มีส.ส.ในพรรคและแอบฝากไว้กับบางพรรคหลายคน ผนวกกับ ส.ว. 250 คนที่รับรู้ว่าส.ว.จำนวนไม่น้อยน่าจะเทน้ำหนักตามจังหวะการเคลื่อนเกมของ"ลุงป้อม"
หากออกสูตรนี้ในกระดานการเมือง คนที่ยิ้มออกคือ "ลุงป้อม" ที่ชูสูตรก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่คนที่จะแบกหน้าชี้แจงสังคมคือ"เพื่อไทย"ว่าทำไมพลิกลิ้นกลับคำพูดและไม่รู้ว่าวันนั้นกองเชียร์พรรคสีส้มรวมทั้งกองหนุน ของ"เพื่อไทย"จะแฮปปี้กับวิธีนี้หรือไม่
หันมองไปยังอีกทฤษฎีหนึ่งทางการเมือง หาก"พรรครวมไทยสร้างชาติ" หรือ "พลังประชารัฐ" รวบรวมจำนวนส.ส.ได้มากที่สุด ( ทะลุ 250 เสียง,ต่ำกว่านั้นเล็กน้อย) สมการการเมืองจะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างไร
"สูตร1" พรรครวมไทยสร้างชาติ + พลังประชารัฐ + ภูมิใจไทย + ประชาธิปัตย์ + ชาติพัฒนากล้า + ชาติไทยพัฒนา
สูตรนี้ คือเงื่อนไขเดิมที่เป็นการจับมือกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเดิม และยังมีโอกาสเป็นไปได้ และอาจเป็นไปได้ด้วยว่าหากจำนวน ส.ส.ขาดเหลือ ไม่มากจะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยไปก่อน จากนั้นอาจจะดีล ส.ส.ขั้วตรงข้ามบางคนมาเสริมทัพหรือรอเลือกตั้งใหม่ในพื้นที่ที่เกิดปัญหา
โดยเฉพาะเมื่อฝั่งนี้ต้องการรวมเสียง ส.ส.ไว้ต่อสู้กับฝั่งตรงข้ามและอย่าลืมข้อตกลงระหว่าง 3 ป.("พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา"กับ"ลุงป้อม" ) ที่ประกาศผ่านสื่อหลายแขนงไว้แล้วว่าหากใคร,พรรคใด ( รทสช.กับ พปชร. ) มีเสียงมากกว่าจะได้สิทธิตั้งรัฐบาลและเป็นนายกฯ
ดังนั้นการประสานกันระหว่าง "รวมไทยสร้างชาติ" และ "พลังประชารัฐ" และสูตรนี้ยังตัดปัญหา ส.ว.งดออกเสียงออกไปโดดเด็ดขาด แต่ก็อาจมีข้อขัดข้องตามมาหาก"รทสช."ได้เสียงมากกว่า"พปชร." เพราะ "พลเอกประยุทธ์" มีความหลังฝังใจกับบุคคลแวดล้อม"ลุงป้อม"ในช่วงการเตรียมโหวตไม่ไว้วางใจสร.1เมื่อไม่กี่ปีก่อน
"สูตร2" พรรคพลังประชารัฐ + ประชาธิปัตย์ + ภูมิใจไทย + ชาติไทยพัฒนา + ชาติพัฒนากล้า และบางพรรคจากขั้วฝ่ายค้าน
หาก"ลุงป้อม"ไม่จับมือกับ"รวมไทยสร้างชาติ" สูตรตั้งรัฐบาลชุดนี้มีความเป็นไปได้อยู่บ้าง เพราะต้องดูว่าตัวเลขส.ส.ของพปชร.ในมือของลุงป้อมมีเท่าใดกันแน่.... เพราะทราบว่า"ลุงป้อม"คาดไว้ที่ 70-110 เก้าอี้! หากออกมาในรูปแบบนี้ จะสะท้อนภาพการตัดสัมพันธ์แบบแยกขาดทางการเมืองระหว่าง "พล.อ.ประวิตร" และ "พล.อ.ประยุทธ์" เป็นการสร้างขั้วอำนาจทางการเมืองใหม่ขึ้นมา และอาจมีการเปิดทางให้บางพรรคในขั้วฝ่ายค้านเดิมมาร่วมงานด้วย(ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข)
สูตรพิสดาร
สมมติว่า ตัวเลขส.ส.ของแต่ละพรรค ( ยกเว้นพรรคเพื่อไทยและก้าวไกล) ไม่แตกต่างกันแบบฟ้ากับเหว และรอลุ้นการพิจารณาข้อร้องเรียนการกระทำผิดกฎหมายของพรรคต่างๆที่ปรากฏขึ้นนั้น "สูตรพิสดาร" นี้อาจเกิดขึ้นในห้วงเวลาหกสิบวันก่อน"กกต."รับรองผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ยังประเมินอะไรไม่ได้และคลาดสายตาการเดินเกมหลังบ้านของแกนนำแต่ละพรรคไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
สูตรนี้จะเกิดขึ้นได้หากว่าคะแนนของ"พรรคสีส้ม"เบียดบี้"พรรคสีแดง" แบบหายใจรดต้นคอและเกิดการต่อรองสูงในช่วงการฟอร์มรัฐบาลใหม่ จนอีกฝ่ายไม่แฮปปี้ กอปรกับพรรคอื่นๆ มีจำนวนส.ส.ในสัดส่วนไล่เลี่ยกันจนเกิดเป็นขั้วที่สามทางการเมืองอย่างไม่เป็นทางการขึ้นมา ตรงนี้จะวัดบารมีของว่าที่ผู้จัดการรัฐบาลคนใหม่ว่าจะใช้ฝีมือ คารมในการต่อรองให้พรรคต่างๆรอมชอมกันอย่างไรในการสร้าง "สูตรพิสดาร"ทางการเมืองขึ้นมาใหม่ แต่หากสูตรนี้มีจริงคงวุ่นน่าดูชม
ไม่รู้ว่า พรรคใดจะจับมือกันได้ และ"ว่าที่ผู้จัดการรัฐบาลใหม่" พรรษาจะพอในการควบคุมสภาวะการเมืองในยามนั้นได้หรือไม่