3 รองหัวหน้า ชทพ. ชูวิสัยทัศน์แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ยากจน-หนี้สิน-การเกษตร

31 มีนาคม 2566 นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และทีมเศรษฐกิจของพรรคเปิดเผยว่า การพัฒนาระบบการบริหารจัดการจะต้องเข้าใจ เข้าถึง และตอบสนองความต้องการของประชาชนแต่ละกลุ่มด้วยความรวดเร็ว มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง จึงต้องแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็นกลุ่มย่อย มีทีมงานรับผิดชอบ เพื่อทำให้เกิดการมีส่วนร่วม และมีคุณค่า ควบคู่กับการกำหนดนโยบายที่ตรงความต้องการของประชาชน

ส่วนในกลุ่มฐานรากและผู้มีรายได้น้อยจะต้องสร้างความรู้ สร้างอาชีพ สร้างตลาดออนไลน์ ควบคู่ระบบขนส่งสินค้า และตลาดออฟไลน์ ขณะเดียวกันต้องมีการสนับสนุนให้ธนาคารออกสินเชื่อเพื่อ SMEs ที่เข้าถึงได้ง่าย พร้อมกับเปิดโอกาสให้บริษัทขนาดใหญ่ หรือ สถาบันทางการเงิน เข้าร่วมทุนกับกลุ่ม SMEs ได้

ส่วนการแก้ปัญหาหนี้สินจะต้องเจาะลึกไปทุกกลุ่มเป้าหมาย ต้องมีคลินิกให้คำปรึกษาการจัดการหนี้แห่งชาติ การตั้งศูนย์รวมหนี้เพื่อบริหารจัดการนำเงินมาไกล่เกลี่ยให้เจ้าหนี้ ตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยหนี้ระหว่างฟ้อง การตั้ง AMC สินเชื่อบุคคลแห่งชาติรับซื้อหนี้จากสถาบันการเงิน โดยมีการ Hair Cut เงินต้นบางส่วน เป็นต้น และควรมีออกมาตรการปลอดต้น ปลอดดอก เพิ่ม 1 ปี สำหรับกลุ่มไม่มีความสามารถชำระหนี้ มาตรการชำระต้นก่อน ดอกทีหลัง เป็นเวลา 2 ปี สำหรับกลุ่มที่มีความสามารถชำระบางส่วน การออกมาตรการขยายระยะเวลากู้ออกไป เป็นระยะยาวเช่น 30 ปี และออกมาตราการลดดอกเบี้ย เบี้ยปรับให้เป็นธรรม เป็นต้น

นายกนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงนโยบายด้านการเกษตร ว่า เกษตรกรคือ รากฐานที่สำคัญของไทย ที่จะต้องช่วยเหลือ ในการเพิ่มผลผลิต และเพิ่มรายได้ ช่วยให้หมดหนี้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี กินดี อยู่ดี สามารถนอนหลับได้อย่างไร้กังวล จึงเน้นผลักดันความมั่นคงและยั่งยืน ให้กับอาชีพเกษตรกรร่ำรวย มีอนาคต สามารถส่งต่อให้ลูกหลาน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำได้จริง และจะต่อยอดการใช้ทรัพยากรน้ำใต้ดิน ให้มีน้ำบาดาลขนาดใหญ่ เพื่อการเกษตรในทุกตำบล ส่งเสริมการใช้น้ำอย่างประหยัดและถูกวิธี เพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบน้ำสะอาด เพื่อการอุปโภคบริโภค ในทุกหมู่บ้าน



ขณะที่ นายสันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เน้นย้ำการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน ต้องดูแลในเชิงรุก ส่งเสริมประชาชนดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีอยู่เสมอ ด้านการศึกษาจะต้องตอบโจทย์ผู้เรียน ให้ได้เรียนในสิ่งที่ใช่ และได้ใช้ในสิ่งที่เรียน จบมาแล้วมีงานรองรับ และมีรายได้ที่เหมาะสม ส่วนการยกระดับคุณภาพชีวิต ผู้สูงวัย และผู้พิการ จะต้องส่งเสริมการสร้างงาน สร้างรายได้ ด้วยการดึงศักยภาพ ความรู้ ประสบการณ์ ความเป็นปราชญ์ชุมชน มาร่วมงานกับท้องถิ่น

โดยมีค่าตอบแทนเป็นรายได้เสริม จากเบี้ยผู้สูงอายุที่ได้อยู่เดิม และการปรับเพิ่มเบี้ยคนพิการเป็น 3,000 บาท รวมถึงการปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้ทุกคนเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม มีการเชื่อมโยงระบบขนส่งเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ให้ทันสมัย สะดวก เข้าถึงง่าย ให้ทัดเทียมกับกรุงเทพฯ เพื่อให้เป็นประเทศแห่งความสุขของทุกช่วงวัย



นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวทีม “ไทย Young พัฒนา” ที่มี นายกมลวัฒน์ มนูญภัทราชัย เป็นประธานของทีม โดยอธิบายคำว่า “Young” ความหมายแรก คือ เด็ก คนหนุ่มสาว ที่มีความฝัน ความหวัง เข้ามาร่วมพัฒนาประเทศ อีกความหมาย คือ ประเทศเรายังพัฒนาอยู่ และขณะนี้โลกกำลังเดินหน้าอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยจึงต้องพัฒนาให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ทำให้ทั้ง นายวราวุธ และ นายชาติชาย มองเห็นถึงการให้ความสำคัญ ให้พื้นที่กับคนรุ่นใหม่ ได้คิด ได้มีส่วนร่วม แก้ปัญหา ร่วมลงมือพัฒนาไปด้วยกัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “ไทย Young พัฒนา”

“มองอดีตของพรรคชาติไทยพัฒนา ก็เห็นประวัติศาสตร์การเดินทางของพรรคการเมือง ก่อนที่ผมเกิดมาหลายสิบปี อดีตของพวกเรายิ่งใหญ่ไม่น้อยกว่าใคร เมื่อมองไปข้างหน้า ผมอยากให้พรรคของเรามองเห็นอนาคต ที่กำลังเปลี่ยนแปลง และเติบโตไปพร้อมกับความจริง ไม่สร้างวิมานในอากาศ สร้างสิ่งที่เป็นไปได้ สร้างนโยบายโดนใจประชาชนทุกคน สร้างสังคมบนรากฐานความจริงใจเเละประชาธิปไตย ดังนั้น ว่าที่ ส.ส. ทุกคน คือ กำลังหลักที่สำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงความคิด วิสัยทัศน์ และนโยบายให้เป็นจริง เอามาใช้พัฒนาประเทศชาติของเราได้” นายสันติ กล่าว