โดย "ดร.สติธร ธนานิธิโชติ" ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า สะท้อนประเด็นนี้ผ่าน "ข่าวข้นคนข่าว" ว่า ค่าใช้จ่ายนั้นมากขึ้นตามระบบเศรษฐกิจ เพียงแต่อาจเห็นตัวเลขที่น่าตื่นตา ตื่นใจ มากขึ้น เช่น ตัวเลขการดีลตัวกันที่สูงกว่าในอดีต ตัวเลขการจ่ายต่อหัวกับสนามท้องถิ่นที่สูงมากขึ้น เลยทำให้มีแนวโน้มเช่นนั้น ซึ่งจะมีทั้งบนดินและใต้ดิน ทว่า วันนี้ (9มี.ค.) นักการเมืองค่อนข้างใช้เงินแบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น
"ตรงไหนไม่มีความหวัง เขาไม่ลงทุน ตรงไหนมีลุ้นทุ่มเต็มที่ และพื้นที่ไหนแข่งขันกันมาก เม็ดเงินก็จะลงไปตรงนั้นสูงตาม ไม่น่าจะพูดได้ขนาดนั้นว่า พรรคการเมืองไหนใช้เงินเยอะที่สุด แล้วจะประสบความสำเร็จที่สุด เงินเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ไม่ได้สำคัญที่สุด ซึ่งบทเรียนในอดีตก็สอนมาแล้ว หลายพรรคการเมืองใช้เงินไม่เป็น หมดเนื้อหมดตัว ผลการเลือกตั้งก็ไม่ได้ก็มี"
ดร.สติธร อธิบายต่อว่า การใช้เงินในวันนี้มีความซับซ้อนมากกว่าในอดีต ประเภทซื้อจ่ายกันคืนหมาหอนจะถูกจับง่าย ซึ่งการซื้อกันอาจมาจากความผูกพัน รวมถึงบนประโยชน์ต่างๆ เข้าใจว่าการใช้เงิน จะมาได้ทุกช่วงเวลา ก่อน-หลังเลือกตั้งก็ได้
ทั้งนี้ ดร.สติธร ยังได้ยกตัวอย่าง "มันนี่ โพลิติก" ในต่างประเทศ โดยชี้ว่ามีทุกประเทศ ยิ่งเฉพาะประเทศที่ประชาธิปไตยไม่เข้มแข็ง ไม่มีกฎหมายข้อห้ามบังคับ คือ ถ้าพรรคการเมืองใดอยากจะให้เงินแล้วประชาชนตอบสนองก็สามารถทำได้ บางประเทศจ่ายกันหน้าคูหาเลือกตั้งก็มี แล้วแต่วัฒนธรรมทางการเมือง และกฎหมายเข้มงวดของประเทศนั้นๆ
"สมัยก่อนใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เงินอาจมาจากนักการเมืองไปถึงตัวประชาชนเลย แต่หลังจากปี 2540 พบว่าการเมืองขับเคลื่อนโดยการขายนโยบายมากขึ้น เงินเลยอาจกระจายไปหลายส่วน กระทั่งถึงการเลือกตั้งปี 2562 เริ่มเห็นภาพใหม่ การเมืองกลับมาแข่งกันกระจายหลายพรรคการเมือง ฉะนั้นเม็ดเงินเมื่อถึงประชาชนจะถูกกลับมากระจายอีกครั้งหนึ่ง วิธีการจ่ายเงินของพรรคจะเจาะกลุ่มที่หวังได้"