DSI ลงพื้นที่หาดยามู สอบเอกสารสิทธิวิลล่าหรู "ฝรั่งเตะหมอ" พบส่อเค้าพิรุธ

ความคืบหน้า "ปฏิบัติการทวงคืนชายหาดภูเก็ต" ที่ยังคงเดินหน้ามีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง หลังจากเกิดเหตุ "ฝรั่งเตะหมอ" จนนำไปสู่การตรวจสอบชายหาดหลายแห่งของภูเก็ต ที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการครอบครอง 


วันนี้ (​14 มี.ค. 67) พลตำรวจตรียุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และทีมพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ลงพื้นที่หาดแหลมยามู ต.ป่าคลอก อ.เมืองภูเก็ต เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง การครอบครองเอกสารสิทธิ ที่ดินวิลล่าหรูที่ นายเดวิด นักธุรกิจชาวสวิส ที่ทำร้ายร่างการแพทย์หญิงคนไทย ได้เช่าไว้

โดยทันทีที่มาถึงหาดยามู เจ้าหน้าที่ได้นำเสนอข้อมูลเอกสาร และภาพถ่ายทางอากาศ ที่อธิบายถึงที่มาที่ไปของการครอบครองที่ดินบริเวณแหลมยามู และหาดยามู จากกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด พร้อมนำเดินดูสภาพพื้นที่แนวหาด 

 

พลตำรวจตรียุทธนา เปิดเผยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงพื้นที่ตรวจสอบหาดยามูใน 2 ประเด็นหลักคือ 1.ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า มีการรุกล้ำชายหาดหรือไม่ 2.ตรวจสอบที่ดินว่า มีการออกเอกสารสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้ จะต้องอาศัยดูจากภาพถ่ายทางอากาศประกอบ เพื่อดูว่าที่ดินเดิมมีการออกเอกสารสิทธิ์ จากเอกสารอะไรและปัจจุบันเป็นอะไร 
 

เบื้องต้นพบว่า เมื่อปี 2517 ที่ดินแปลงนี้เป็น สค.1 จำนวน 98 ไร่ หลังจากนั้นมีการออกเป็น “นส. 3 ก.” ในปี 2548 และพบว่า ที่ดินเพิ่มขึ้นเป็น 106 ไร่ ซึ่งข้อพิรุธดังกล่าว ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็นคดีพิเศษ เพราะเป็นไปตามเงื่อนไข ในการรับเป็นคดีพิเศษ ที่กำหนดไว้ซึ่งระบุชัดเจนว่า เอกสารสิทธิ์ต้องมีเนื้อที่ตั้งแต่ 50 ไร่ขึ้นไป ซึ่งที่หาดยามูปัจจุบันมีกรรมสิทธิที่ต้องตรวจสอบจำนวน​ 106 ไร่ โดยในจำนวนนี้พบว่า มีการออกโฉนดไปแล้วบางส่วน และยังมีพื้นที่เหลืออีกประมาณ​​ 82 ไร่ที่อยู่ระหว่างการรอออกโฉนด

รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า จากการตวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ยังไม่ได้ให้ผู้เชี่ยวชาญมาแปลภาพถ่ายทางอากาศ พบว่า ในปี 2509 - 2513 ที่ดินแปลงนี้เป็นป่าสมบูรณ์ กระทั่งปี 2517เห็นร่องรอยคล้ายการแผ้วถางป่า และหากสังเกตในภาพ จะมีเส้นทางที่เป็นลำรางสาธารณะอยู่ด้วย ซึ่งหากพบว่า มีการออกเอกสารสิทธิปิดทับลำราง เท่ากับว่าผิดกฎหมาย​อีกเรื่อง

ซึ่งจากช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ได้มีการใช้ประโยชน์จากที่ดิน กระทั่งในปี 2565 ถึงมีการสร้างวิลล่าในพื้นที่ดินแปลงดังกล่าว ​โดยข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบ​ว่า กรรมสิทธิที่ดินแปลงนี้ มีบริษัทภูเก็ต เพ็นนินซูล่าเอสเตท จำกัด เป็นเจ้าของหลัก แต่มีการขายและเช่าให้กับบริษัทอีกอย่างน้อย 2 - 3 บริษัท ลักษณะดังกล่าวจะเข้าข่ายเป็นนอมีนีหรือไม่นั้น ต้องขอเวลาอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อตรวจสอบในลึกลงไปกว่านี้



พลตำรวจตรียุทธนา ย้ำถึงกรณีการตรวจสอบเข้าข่ายนอมินีหรือไม่นั้น แน่นอนว่า ผู้ประกอบการในพื้นที่ภูเก็ตมีความพยายาม และมีชั้นเชิงสูง ในการที่ทำให้เอกสารต่าง ๆ เป็นไปอย่างถูกต้องตามสัดส่วนของการถือหุ้น กรณีชาวต่างชาติร้อยละ 49 และคนไทยร้อยละ 51 เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ ซึ่งสวนทางการปฏิบัติที่ยังไงคนต่างชาติ มักจะเป็นผู้มีอำนาจ​​สูงสุดเสมอ ​ซึ่งที่ผ่านมากรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบคดีลักษณะดังกล่าวในพื้นที่ภูเก็ตไปแล้ว 36 คดี มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง ซึ่งได้ส่งให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบและอีกหลายรายอยู่ระหว่างสอบสวนดำเนินการ 

ทีมข่าวเนชั่นสอบถามข้อมูลเชิงลึก เกี่ยวกับการกันพื้นที่บริเวณแนวชายหาด ที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย คือบริเวณจุดที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุดขยับออกไปในระยะ ​40 เมตร ซึ่งหากมองด้วยตาเปล่าจากจุดพื้นที่บันได ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว จุดที่รองอธิบดีดีเอสไอมาตรวจสอบ และยืนให้สัมภาษณ์อยู่นี้ในช่วงเวลา 12.00 น. พบว่าน้ำทะเลเริ่มขึ้นเกือบเต็มพื้นที่ชายหาดในจุดที่เป็นข้อพิพาท จึงกลายเป็นภาพสะท้อนชัดเจนว่า วิลล่าแห่งนี้รุกล้ำแนวหาดในระยะ 40 เมตร ที่กันไว้ให้เป็นพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเรื่องนี้จะประสานให้กรมเจ้าท่า เข้ามาชี้จุดแนวชายหาดอีกครั้งเพื่อเอาผิด หากพิสูจน์ได้ว่าวิลล่าหรูสร้างสิ่งปลูกดสร้างรุกล้ำชายหาด
 

ทั้งนี้ การลงพื้นที่ของ DSI นอกเหนือจากการตรวจสอบที่ดินแล้ว ยังได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เป็นภาคีต่าง ๆ  ในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดตามกฏหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ไม่ว่าจะเป็นกรมพัฒนาธุรกิจการค้า​ สำนักงานตำรวจแห่งชาติตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเข้าไปตรวจสอบธุรกิจจำนวน ​9 นิติบุคคล ที่มีต่างชาติดำเนินธุรกิจร่วมคนไทย ที่มูลค่าธุรกิจเกินจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษทั้งสิ้น ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบอย่างน้อย 1 เดือน