
12 กันยายน 2566 นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จ ของความร่วมมือกันระหว่าง หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ที่จับมือมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และสภาเกษตรกรจังหวัดยะลา กับภาคีเครือข่าย
ในการนำชุดความรู้จากงานวิจัย ภายใต้การสนับสนุนของ บพท. พัฒนาศักยภาพ และยกระดับห่วงโซ่ มูลค่าของ เกษตรกรกลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรง และ วิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งชันโรง จังหวัดยะลา และนราธิวาส ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ช่วยชุมชนเกษตรกร ให้รอดพ้นพิษเศรษฐกิจในช่วงภัยโควิด-19
ผศ.ดร.อิสมะแอ เจ๊ะหลง คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา หัวหน้าชุดโครงการวิจัย เล่าว่า โครงการนี้ เริ่มจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 คนตกงานกลับบ้าน และ กลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งชันโรงในภาคใต้ 3 จังหวัด ซึ่งเดิมมีตลาดส่งออกหลักคือ มาเลเซีย มูลค่าประมาณปีละ 2 ล้านบาท ต้องปิดลง ทางคณะจึงเห็นว่า ควรจะพัฒนาศักยภาพ ในการเลี้ยง ผึ้งชันโรง สำหรับป้อนตลาดในประเทศ
จึงนำงานวิจัยมาพัฒนา จากการเลี้ยงโดยวิถีดั้งเดิม โดยการยกระดับความรู้เกษตรกร การพัฒนานวัตกรรม การทำรังชันโรง ให้เหมาะสมเพื่อทำให้รังมีความสมบูรณ์ และมีปริมาณน้ำผึ้งเพิ่มขึ้น และการพัฒนาเกษตรกร ให้เป็นผู้ประกอบการ สร้างตลาดเองได้
เพื่อยกระดับห่วงโซ่มูลค่า ของเกษตรกรกลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรง และวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งชันโรง นำไปสู่การสร้างความเข้มแข็ง แก่เศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก โดยมีความหลากหลายของธรรมชาติในพื้นที่ เป็นวัตถุดิบที่สำคัญ อีกทั้งเป็นการต่อยอดจาก โครงการธนาคารต้นไม้ของบ้านบือมัง
“ผมได้นำ น้ำผึ้งชันโรง ซึ่งปกติมีสรรพคุณทางยาสูงกว่าน้ำผึ้ง 2 เท่า ไปวิจัยและทดสอบสรรพคุณ พบว่า สรรพคุณที่ได้ มีความหลากหลายจากชนิดพืช ที่ชันโรงไปกินน้ำหวาน และเมื่อแยกสรรพคุณแต่ละชนิดดอกไม้ออกมา ก็พบว่าพืชแต่ละชนิด ส่งผลต่อสีและกลิ่นของน้ำผึ้งที่ได้ด้วย จึงส่งเสริมการเลี้ยงให้จำแนกสี และชนิดพืช"
โดยการปลูกดอกไม้ ชนิดที่ต้องการเสริมในพื้นที่ ที่เกษตรกรเลี้ยงเพิ่มขึ้น เช่น น้ำผึ้งชันโรงสีธรรมชาติคือ น้ำตาลอมเหลืองรสหวานเปรี้ยว แต่เมื่อชันโรงกินน้ำหวานดอกรักแรกพบ ที่มีดอกสีเขียวเหลือง ทำให้ได้น้ำผึ้งชันโรงสีเขียวมรกต กินน้ำหวานจากดอกโคลงเคลง ได้น้ำผึ้งชันโรงสีม่วง
ซึ่งสีม่วงจะมีสรรพคุณจาก ฟลาโวนอยด์ ที่มีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ต้านเชื้อโรค ฯลฯ ร่วมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้ร่างกาย ซึ่งเมื่อเกษตรกรสามารถแยกสรรพคุณได้ สามารถที่จะบอกเล่าเรื่องราว การเลี้ยงที่ประณีตได้ ก็ส่งผลต่อราคาจำหน่าย ได้ราคาสูงกว่าน้ำผึ้งชันโรงทั่วไป
นายรุสดี ยะหะแม ประธานวิสาหกิจชุมชนธนาคารต้นไม้บือมัง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา หนึ่งในพื้นที่เป้าหมายในการขับเคลื่อนงานวิจัย ผึ้งชันโรง กล่าวว่า วิสาหกิจชุมชนธนาคารต้นไม้บือมังมีสมาชิกประมาณ 50 คน เห็นว่าระหว่างที่รอไม้โต ควรต้องมีอาชีพเสริม การเลี้ยง ผึ้งชันโรง เพื่อเก็บน้ำผึ้งขาย จึงตอบโจทย์เกษตรกร
เนื่องจากบ้านบือมัง ตั้งอยู่ในเทือกเขากาลอ อากาศบริสุทธิ์ และมีความหลากหลายธรรมชาติชาติ และมีดอกไม้ท้องถิ่นมากเมื่อได้รับการอบรมการเลี้ยงที่ถูกต้อง ทำให้การเลี้ยงถูกต้อง มีดอกไม้ให้ชันโรงหากินในรัศมี 300 เมตร ทำให้รังโตเร็วผลผลิตดีขึ้นโดย น้ำผึ้งชันโรงกลุ่มแปรรูปบ้านบือมัง จะรับซื้อเกษตรกรจะขายในราคา 750 บาทต่อ1 กิโลกรัม และจำหน่ายในราคาประมาณ 1,000 บาทต่อ 1 กก. และหากเป็นน้ำผึ้งสี จะมีราคาเพิ่มขึ้น ตามความต้องการของตลาด
อย่างไรก็ตาม เราคาดหวังเบื้องต้นว่า ทำขายในประเทศ หรือพื้นที่ท่องเที่ยวเช่นเบตง ที่คนมาเที่ยวเดือนละแสนคน ปีละนับล้านคน หากช่วยกันซื้อคนละ 1 ขวดลิตร ก็แทบจะไม่พอขาย เพราะชันโรงธรรมชาติ ต้องเลี้ยงโดยธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไร้สารเคมี เพราะชันโรงจะตาย ดังนั้นเห็นว่าอาชีพนี้จะยั่งยืน โดยมีงานวิจัยหนุนเสริม ให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในสรรพคุณ