อีกหนึ่งบทความทางวิชาการที่น่าสนใจ โดยล่าสุด ทางด้าน หมอยง หรือ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า
โควิด 19 การกลายพันธุ์ของไวรัส ไม่มีผลต่อยาที่ใช้รักษา
ไวรัส covid 19 มีการกลายพันธุ์เรื่อยมา ทุกคนทราบกันดี
การกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในส่วนของหนามแหลม
ทำให้มีผลต่อวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันมีประสิทธิภาพลดลง
และยาในกลุ่มของแอนติบอดี รวมทั้งโมโนโคลนอลแอนติบอดี มีประสิทธิภาพลดลง
ส่วนยาที่ใช้รักษา ไม่ว่าจะเป็น remdicevir และ molnupiravir มีผลต่อการแบ่งตัวของไวรัส
โดยขัดขวาง RNA dependence RNA polymerase
ส่วนยา paxlovid ขัดขวาง enzyme protease ไม่ได้อยู่ในส่วนที่มีการกลายพันธุ์ของไวรัส
ดังนั้น การกลายพันธุ์ของไวรัสในปัจจุบันจึงยังไม่มีผลต่อประสิทธิภาพของการให้ยาต้านไวรัสในการรักษาดังกล่าว
ยาต้านไวรัสที่กล่าวถึงจึงยังมีประสิทธิภาพในการรักษาเหมือนเดิมถึงแม้ว่าไวรัสจะกลายพันธุ์
โควิด-19 เป็นโรคที่จะไม่หายจากไป ย้ำวัคซีนยังจำเป็นแม้ไม่สามารถป้องกันติดเชื้อได้ แต่วัคซีนทุกตัวลดความรุนแรงของโรคได้ และต้องให้อย่างน้อย 3 เข็มขึ้นไป
ย้อนไปเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หรือ หมอยง หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเรื่อง "โควิด-19" โดยระบุว่า Covid-19 โรคที่จะไม่หายจากไป วัคซีนยังมีความจำเป็น
หมอยง เปิดเผยว่า
โควิด-19 จะยังคงอยู่กับเราตลอดไป และมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ตามหลักวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิต เพื่อการดำรงอยู่
เมื่อประชากรส่วนใหญ่มีภูมิต้านทาน ไม่ว่าจะจากการฉีดวัคซีน การติดเชื้อ หรือฉีดวัคซีนร่วมกับการติดเชื้อ จะทำให้ร่างกายสามารถตอบสนองต่อไวรัสได้เป็นอย่างดีถึงแม้ว่าจะมีการกลายพันธุ์ไปบ้าง ความรุนแรงของโรคจึงลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับในระยะแรกที่เราไม่มีภูมิต้านทานกันเลย
ประชากรส่วนใหญ่ขณะนี้ทั่วโลกเชื่อว่ามีภูมิต้านทานบางส่วนเกิดขึ้นจากการติดเชื้อ และวัคซีน จึงทำให้ความรุนแรงของทั่วโลกลดลง เห็นได้จากอัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างมากถ้าเปรียบเทียบกับปีแรก
ถึงแม้ว่าไวรัสจะมีการกลายพันธุ์ การกลายพันธุ์ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่หนามแหลม spike ส่วนนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ จึงทำให้สามารถติดเชื้อได้ซ้ำขึ้นได้ แต่ภูมิต้านทานส่วนอื่นเช่นระดับเซลล์ และการกำจัดไวรัสโดยอาศัยเซลล์ ยังคงอยู่ ทำให้การกำจัดไวรัสเป็นไปได้ดีกว่าคนที่ไม่มีภูมิต้านทาน ความรุนแรงของโรคจึงลดลง ถึงแม้ว่าจะมีการติดเชื้อซ้ำ
หมอยง เผยต่ออีกว่า ระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 3 ปี เห็นได้ชัดเจนว่าวัคซีนไม่ว่าจะเป็นเชื้อตาย ไวรัส Vector หรือ mRNA ไม่สามารถที่จะป้องกันการติดเชื้อได้ วัคซีนทุกตัวลดความรุนแรงของโรคได้ไม่ต่างกัน และต้องให้อย่างน้อย 3 เข็มขึ้นไป และยังจำเป็นที่จะต้องมีการกระตุ้นเป็นครั้งคราวเช่นเดียวกันกับไข้หวัดใหญ่ ความจำเป็นในการกระตุ้นยังต้องมีต่อไปโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608
เราได้เสียโอกาสไปมากกับการใช้วัคซีนเชื้อตายในระยะแรก ทั้งที่ขณะนี้ก็มีอีกหลายประเทศผลิตวัคซีนเชื้อตายขึ้นมาเช่น ฝรั่งเศส (Valneva) อินเดีย (Covaxin) และได้ขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะฉุกเฉินแล้วเช่นกัน การให้วัคซีนเชื้อตายแต่เริ่มต้น เป็นการให้ไวรัสทั้งตัว เปรียบเสมือนจำลองการติดเชื้อ ซึ่งต่างกับวัคซีนไวรัส Vector และ mRNA จะมีส่วนของโปรตีนเฉพาะหนามแหลมเท่านั้น
ในปัจจุบันนี้เราได้วัคซีนสร้างภูมิต้านทานโดยธรรมชาติ จากการติดเชื้อ ต่อวัน อาจจะมากกว่าการฉีดวัคซีนต่อวันของบ้านเรา