svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เจาะประเด็นร้อน

"ด้อมการเมือง"บทเรียนซ้ำซากผู้ล่ากำลังถูกไล่ล่า โดย "พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร"

16 กรกฎาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ควํ่าบาตรออนไลน์ วิชามารที่สังคมรังเกียจ ปรากฎให้เห็นแล้ว "กลุ่มด้อมการเมือง"กระทำ ต่อส.ว. หรือ กกต.จึงไม่ต่างจากการรุมประชาทัณฑ์โดยศาลเตี้ยที่ไม่มีผู้ตัดสิน ผลร้ายกลับสู่ตนเอง ติดตาม ในเจาะประเด็นร้อน โดย "พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร"

"การใช้โซเชียลมีเดียโจมตีบุคคลและลามปามไปถึงครอบครัวและบุพการี ของบางคนจนไปถึงธุรกิจของฝ่ายที่อยู่ ตรงข้ามกับตนเองนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมใดๆไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบหรือประชาธิปไตยแบบบ้านเราก็ตาม"

ทันทีที่ผลการโหวตนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามความคาดหมายและ"คุณพิธา"ไม่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี จากการโหวตครั้งแรกความร้อนแรงบนโซเชียลมีเดียที่คุกรุ่นตลอดหลายวันที่ผ่านมา

เริ่มกลายเป็นความเผ็ดร้อน รุนแรง ด้วยถ้อยคําสารพันที่จะสรรหามาแสดงออก เพราะผลที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปดังใจของกองฝ่ายกองเชียร์"คุณพิธา"

แม้ว่า"คุณพิธา"จะยอมรับในผลการโหวตแล้วก็ตาม จนนําไปสู่การโจมตีทั้งกลุ่ม ส.ว.ส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นชอบและงดออกเสียง ตลอดจนโจมตีการทํางานของ กกต.ที่อาจทําให้"คุณพิธา"ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่มีการสดุดี ส.ว. ส่วนหนึ่งที่โหวต
เห็นชอบ ให้กับ"คุณพิธา"

แฟ้มภาพ  กลุ่มผู้ชุมนุมได้รับการนัดหมายทางสื่อโซเชียล ให้มาชุมนุมประท้วง หน้าหอศิลป์ กทม.  ภายหลัง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์  หัวหน้าพรรคก้าวไกล  ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเป็นนายกฯ

อารมณ์ทางการเมืองกับความผิดหวัง

ภาพของ ส.ว. ชุดปัจจุบันที่ถูกสร้างภาพให้เป็นผู้ร้ายมาตั้งแต่ต้นและการทํางานของ กกต. ที่ดูเหมือนจะขัดอกขัดใจกองเชียร์และขัดผลประโยชน์และอํานาจทางการเมืองของพรรคการเมืองส่งผลให้โลกโซเชียลร้อนระอุ และถึงจุดแตกหักในวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จนถึงขั้น แฟนคลับพรรคก้าวไกลมีการนําข้อมูลกิจการของส.ว. หรือคนในครอบครัว ส.ว.ที่ลงคะแนนไม่เห็นชอบและงดออกเสียง มาแขวนเพื่อโจมตีและแบนธุรกิจบางรายถึงกับระบุพิกัดให้ขนทัวร์ไปลง อาทิ ธุรกิจปั๊มนํ้ามัน คลินิกของลูก ส.ว.ร้านอาหาร ตลาด โรงพยาบาลสัตว์ ร้านขายรองเท้า ทีมฟุตบอล เป็นต้น 

โดยอ้างว่าเพื่อไม่ให้มีที่ยืนในสังคม ขณะบางส่วนได้นําข้อมูลเงินเดือน และค่าสวัสดิการต่างๆของส.ว.มาเปิดเผย แม้แต่ส.ว.บางรายที่เดินทางไปต่างประเทศ ก็ยังโดนโจมตีด้วย

นอกจากนี้ธุรกิจในครอบครัวของ 5 กกต.ก็ยังถูกขุดขึ้นมาแขวนล่อเป้า รวมทั้ง"นายชาดา ไชยเศรษฐ์" ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ที่ลุกขึ้นอภิปราย"นายพิธา"และประกาศขวางการแก้ไขมาตรา 112 อย่างดุเดือดเมื่อวันลงคะแนนก็ถูกขุดประวัติของครอบครัวมาถล่มเช่นเดียวกัน (อ้างอิง 1)

การแสดงออกทางการเมืองบนโลกโซเชียลด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและโกรธแค้นจึงสามารถนําไปสู่ภาวะ"สูญเสียความยับยั้งชั่งใจบนโลกออนไลน์" (Online disinhibition effect) อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ทําให้เกิดการแสดงออกที่เกินความพอดีและมีการโจมตีตัวบุคคลที่อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือนําข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมักจบที่การฟ้องร้องดําเนินคดีหรือถูกปรับดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วนับไม่ถ้วน

การกระทําดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Online bullying) ซึ่งเป็นการกลั่นแกล้งรูปแบบใหม่ที่มากับโลกอินเทอร์เน็ตและเป็นสิ่งที่คนปกติทั่วไปไม่พึงปรารถนาพฤติกรรม

แฟ้มภาพ การชุมนุม ที่หน้ารัฐสภา ของกลุ่มที่สนับสนุน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้เป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566

ด้อมการเมือง

การแสดงออกทางการเมืองของเหล่าบรรดาแฟนคลับทางการเมืองที่ถูกเรียกกันในระยะหลังว่า"ด้อมการเมือง" ซึ่งมักติดตามกิจกรรมทางการเมืองและตัวนักการเมืองบางคนที่ทําตัวเหมือน "นักการเมืองแบบเซเลบริตี้" (Celebrity Politics) อย่างใกล้ชิด นักการเมืองประเภทนี้ มีบุคลิกสามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่ออารมณ์คนติดตามได้ดี มีภาพลักษณ์ที่ดี คําพูดคมๆ การสร้างตัวตนที่สะท้อนถึงการเป็นคนร่วมสมัย เอาใจคนรุ่นใหม่และต่อต้านกระแสสังคมโดยรวม (อ้างอิง 2)

นักการเมืองเหล่านี้ได้ ปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นนักแสดงทางการเมืองจนกลายเป็นนักการเมืองที่มีความ "แตกต่าง" จากนักการเมืองในอดีตจนได้ใจคนบางกลุ่ม ทําให้ "ด้อมการเมือง"บางคนถึงกับอุทิศทั้งชีวิตเพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองของเซเลบการเมืองบางคนได้อย่างหมดหัวใจและถึงขั้นฟูมฟายรํ่าไห้ ตีอกชกตัวด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรงเมื่อผลโหวต"คุณพิธา"ไม่ผ่านในรอบแรก

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดใจ ทางสื่อโซเชียล เรียกร้องให้ประชาชนช่วยฝ่าสมรภูมิเลือกนายกฯรอบสอง และแก้รธน.ปิดสวิตซ์ ส.ว.

พฤติกรรมที่แสดงออกของ"ด้อมการเมืองเหล่า"นี้จึงมีความเป็นไปได้ที่ เกิดจากการผูกติดอารมณ์ทางการเมืองของตัวเองเข้ากับอารมณ์ที่ชื่นชมความเป็นเซเลบของนักการเมือง จนต้องแสดงออกถึงความรู้สึกและอารมณ์เดือดดาลจากความผิดหวังของผลทางการเมืองที่ค่อนข้างรุนแรงซึ่งตามความเป็นจริงแล้วการแสดงออกเหล่านี้ เป็นธรรมชาติ ของคอการเมืองที่เกิดขึ้นได้ ทุกหนทุกแห่งในโลกและผู้คนสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกถึงความชอบ ความไม่ชอบ ความสงสัย หรือ ตั้งคําถามได้บนโซเชียลมีเดียอย่างแทบไม่มีข้อจํากัด

แต่การใช้โซเชียลมีเดียโจมตีบุคคลและลามปามไปถึงครอบครัวและบุพการี ของบางคนจนไปถึงธุรกิจของฝ่ายที่อยู่ ตรงข้ามกับตนเองนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมใดๆไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบหรือประชาธิปไตยแบบบ้านเราก็ตาม

เพราะการบังคับให้คนอื่นเชื่อหรือศรัทธาในอุดมการณ์ทางการเมืองในแบบที่ตัวเองเชื่อและบังคับให้ผู้อื่นกระทําในสิ่งที่ตนเองต้องการรวมทั้งไล่ล่าผู้ที่ตนเองเห็นว่าเป็นศัตรูทางการเมืองนั้นเป็นพฤติกรรมที่มิได้ต่างจากระบอบเผด็จการที่มักถูกรังเกียจเดียดฉันท์ จากตัวเองที่ มักอ้างตนเองอยู่ เสมอว่าเป็นประชาธิปไตยที่ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเผด็จการตลอดมา

นอกจากนี้ พฤติกรรมดังกล่าวยังเป็นข้อบ่งชี้ ถึงระดับความมีอารยะของผู้ใช้โซเชียลมีเดียของประเทศไทยได้ในระดับหนึ่งด้วย

\"ด้อมการเมือง\"บทเรียนซ้ำซากผู้ล่ากำลังถูกไล่ล่า โดย \"พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร\"

ควํ่าบาตรออนไลน์ วิชามารที่ สังคมรังเกียจ

วัฒนธรรมการควํ่าบาตรออนไลน์ (Cancel culture) เป็นพฤติกรรมที่มาพร้อมๆกับโซเชียลมีเดีย จากการฉวยโอกาสของคนบางคนในการใช้ศักยภาพของโซเชียลมีเดียโจมตีเพื่อทําลายล้างฝ่ายตรงข้ามหรือบุคคลที่ตัวเองไม่ชอบทั้งบุคคลทั่วไปและบุคคลทางการเมืองเพื่อสนองต่อความผิดหวังและความไม่พอใจของพวกตัวเอง

ผลพวงทางการเมืองจากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาทําให้ บุคคลทางการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการโหวตก็ดีหรือบุคคลที่อยู่  ฝ่ายตรงข้ามก็ดี ล้วนเป็นเป้าหมายให้ "ด้อมการเมือง"ถล่มทั้งสิ้น

การควํ่าบาตรออนไลน์ ต่อส.ว. หรือ กกต.จึงไม่ต่างจากการรุมประชาทัณฑ์โดยศาลเตี้ยที่ไม่มีผู้ตัดสิน ไม่มีขอบเขตของโทษหนักเบาหรือกระบวนการทางกฎหมายใดๆรองรับ จากผู้ที่แสดงออกที่ มีตัวตนและไม่ปรากฏตัวตน ซึ่งบางส่วนอ้างว่าเพื่อไม่ให้บุคคลเหล่านี้ มีที่ยืนในสังคม เพียงเพราะไม่เข้าข้างตัวเองหรือทําในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ตัวเองคาดหวัง

วัฒนธรรมการรุมควํ่าบาตรออนไลน์จึงเป็นภัยต่อผู้คนที่ผู้โจมตี เห็นว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม เป็นการคุกคามและข่มขู่ โดยใช้โลกไซเบอร์ เป็นเครื่องมือการควํ่าบาตรออนไลน์นอกจากจะสร้างความเสื่อมเสียต่อผู้ถูก กระทําในวงกว้างแล้ว ยังลุกลามถึงขั้นทําลายอาชีพ ทําลายชื่อเสียง จิตใจ รวมถึง ทําลายชีวิตของผู้คนในที่สุดอย่างไม่เป็นธรรม

โดยผู้ถูกโจมตีไม่มีโอกาสได้แก้ตัวหรือชี้แจงการควํ่าบาตรออนไลน์ จึงเป็นมะเร็งร้ายของสังคมที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมที่มีอารยะอีกต่อไปเพราะพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมเลวร้ายที่ควรถูกประณามมากกว่าการได้รับเสียงเชียร์ หรือชื่นชมใดๆ

\"ด้อมการเมือง\"บทเรียนซ้ำซากผู้ล่ากำลังถูกไล่ล่า โดย \"พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร\"

การระบาดของอารมณ์ ทางการเมือง

โซเชียลมีเดีย เป็นพื้นที่ที่อ่อนไหวต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้คนมากที่สุด พื้นที่หนึ่งเพราะโซเชียลมีเดียมักนําคอนเทนต์ที่ เร้าอารมณ์ เข้ามากวนใจผู้ใช้งานอยู่ เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทางการเมืองและการโจมตีตัวบุคคลทางการเมืองมักดึงดูดความสนใจและสร้างอารมณ์ร่วมแก่ผู้คนตลอดมาทุกยุคสมัย 

นักเทคโนโลยีและนักจิตวิทยาทางเทคโนโลยีมักมีคําถามอยู่ เสมอว่า โซเชียลมีเดีย สามารถเป็นพาหะทางอารมณ์เหมือนกับพาหะอื่นๆที่สามารถแพร่เชื้อในโลกแห่งความจริงได้หรือไม่

ปัญหาดังกล่าวได้ถูกไขโดยนักวิจัยจาก Facebook และมหาวิทยาลัย Cornell โดยนักวิจัยได้ร่วมกันทําการทดลองลดจํานวน ของข้อมูลในทางลบ (Negative content) สําหรับผู้ใช้ Facebook บางกลุ่ม และลดจํานวนข้อมูลในทางบวก(Positive content) ของผู้ใช้ Facebook อีกกลุ่มหนึ่งบน News Feed ของ Facebook และทดสอบว่าการลดจํานวนข้อมูลเหล่านี้ จะมีผลให้ผู้รับข้อมูลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการแสดงออกในทางบวกหรือทางลบต่อการโพสบน Facebook หรือไม่

๏ ผู้วิจัยพบว่า เมื่อมีการลดการปลุกเร้าอารมณ์ทั้งทางบวกและทางลบของข้อมูลบน News Feed ของผู้ใช้ Facebook จะทําให้จํานวนคําโดยรวมที่ผู้ใช้โพสบน Facebook ลดลง ซึ่งหมายความว่าหากมีการปลุกเร้าทางอารมณ์ ผ่านข้อมูลไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบก็ตามจะเป็ นแรงบันดาลใจให้ผู้ใช้ Facebook มีการโพสข้อความมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อลดการปลุกเร้าทางอารมณ์ลง จํานวนคําของการโพสจะลดลง

๏ ผู้วิจัยพบว่า เมื่อทําให้จํานวนข้อความทางบวกบน News Feed ของ Facebook ลดลง จํานวนเปอร์เซ็นต์ของข้อความในทางบวกบน Status update จะลดลง แต่จํานวนเปอร์เซ็นต์ของข้อความในทางลบกลับเพิ่ มขึ้น ในทางกลับกันเมื่อทําให้จํานวนข้อความในทางลบบน News Feed ลดลง จํานวนเปอร์เซ็นต์ของข้อความในทางลบบน Status update จะลดลงด้วย แต่จํานวนเปอร์เซ็นต์ของข้อความในทางบวกกลับเพิ่มขึ้น

การทดลองครั้งนี้ พอจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าการแพร่กระจายทางอารมณ์ จากการเสพข้อมูลบนโซเชียลมีเดียเกิดขึ้นได้จริงและสามารถแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วโดยการทําหน้าที่อย่างแข็งขันของอัลกอริทึมบนโซเชียลมีเดีย เพราะอัลกอริทึมสามารถ ควบคุม กํากับ คัดเลือกและส่งอารมณ์ทางบวกหรือ อารมณ์ทางลบให้กับผู้ใช้โซเชียลมีเดียได้ตลอดเวลา

ดังนั้น สร้างอารมณ์ร่วมบนโลกของโซเชียลมีเดียจึงเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าจะอยู่ ในสภาวะแวดล้อมใดก็ตาม  การแสดงออกถึง อารมณ์ ความเครียด ขุ่นเคือง โกรธแค้นและผิดหวังทางการเมืองที่ปรากฏบนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆอย่างมากมาย หลังจากทราบผลการโหวตนายกรัฐมนตรี จึงสามารถระบาดได้ อย่างรวดเร็วจนทําให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบต่างๆนานา ทั้งด้วยการ ไล่ล่า ด่าทอ ให้ร้ายและพาดพิงถึงบุคคลอื่นในทางที่จะสร้างความเสื่อมเสียต่อบุคคลเหล่านั้นอย่างกว้างขวางดังปรากฏเป็นข่าวอยู่ ทั่วไป


พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนมากพอดำรงตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 13 ก.ค.66

ชีวิตทางการเมืองที่สุดขั้ว

ถึงวันนี้ ยังไม่มีหลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่า โซเชียลมีเดียคือต้นเหตุสําคัญในการทําให้เกิดการแบ่งข้างทางการเมืองมากน้อยเพียงใด เพราะการแบ่งข้างทางการเมืองเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งโซเชียลมีเดียยังไม่ถูกสร้างขึ้น 

แต่น่าเชื่อว่าโซเชียลมีเดียเป็นอาจเครื่องมือที่ช่วยเปิดทาง (Enable) ให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายง่ายขึ้นและทําให้มองเห็นตัวตนทางการเมืองของแต่ละกลุ่มชัดเจนขึ้น การแบ่งขั้วของผู้คนโดยถือความเป็น “เขา” และความเป็น “เรา” ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากเหตุผลทางการเมืองของแต่ละคนสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในทุกยุคสมัย และเป็นผลผลิตของการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันทั้งในโลกแห่งความจริงและโซเชียลมีเดีย

นอกจากนี้ พฤติกรรมที่แสดงออกโดยทั่วไปของผู้คนที่มักพบเป็นประจํา คือ ชื่นชมต่อความเห็นทางการเมืองในกลุ่มก้อนของพวกเดียวกัน แต่ด้อยค่าความเห็นของกลุ่มที่มีความเห็นทางการเมืองตรงข้ามเสมอและเมื่อใดก็ตามที่การแสดงออกทางการเมืองของแต่ละฝ่ายปรากฏบนโซเชียลมีเดียความร้อนแรงจากการกระตุ้นด้วยเนื้อหาทางการเมืองจึงเกิดขึ้นและแพร่กระจายไปยังกลุ่มก้อนผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่ใกล้ชิด (Strong ties) รวมทั้งคนรู้จักอื่นๆที่มี การเชื่อมต่อกันนอกวงเพื่อนสนิท (Weak ties) อย่างรวดเร็ว

ผลการศึกษาพบว่าการเกิดขั้วทางการเมืองจะทําให้คนกลุ่มหนึ่งเริ่มรู้สึกและปฏิบัติต่อคนที่มีความเห็นทางการเมืองที่อยู่ ตรงข้ามกับตนต่างออกไปและเพิ่มระดับ ความไม่ชอบ (Antipathy) ต่อผู้เห็นต่างทางการเมืองมากขึ้น 

นักจิตวิทยามักเรียกการแบ่งขั้วทางการเมืองในลักษณะนี้ ว่า การแบ่งขั้วทางอารมณ์ (Affective polarization) ซึ่งความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างขั้วหรือการต้องการเอาชนะกันในทางการเมืองอาจจะนําไปสู่ อารมณ์ ตึงเครียดเกิดการโต้ตอบจนกลายเป็นสงครามข้อมูลบนโลกโซเชียลและอาจลุกลามกลายเป็นความรุนแรงได้เช่นกัน

ผลการศึกษาอีกชุดหนึ่งพบว่าคนในฝั่งการเมืองที่อยู่ ตรงข้ามกันมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ จะมองว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งเป็น "พวกผู้ร้าย" เสมอและที่น่าตกใจคือพบทัศนคติ ทางการเมืองที่เห็นว่าประเทศจะดีขึ้นถ้าฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองตายไปเสียจากโลกนี้ (ผลการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา)

แนวความคิดเรื่องความรุนแรงและความเกลียดชังทางการเมืองเหล่านี้ จึงมีโอกาสสร้างแรงกระตุ้นที่สามารถนําไปสู่ ความรุนแรงในโลกแห่งความจริงไม่มากก็น้อยไม่ว่าจะอยู่ ในประเทศที่มีสภาพแวดล้อมทางการเมืองแบบใดก็ตาม

\"ด้อมการเมือง\"บทเรียนซ้ำซากผู้ล่ากำลังถูกไล่ล่า โดย \"พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร\"

ด้อมการเมือง : ประโยชน์หรือหอกข้างแคร่

โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบใหม่ที่ง่าย ไม่ต้องลงทุนสูง สื่อสารได้รวดเร็วในแบบ Real time จนทําให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองประสบความสําเร็จในหลายโอกาส ตั้งแต่การเชิญชวนคนเข้ามามีส่วนร่วม การเปลี่ยนใจผู้คนให้เลือกพรรคตัวเอง หรือแม้แต่ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม และสามารถสร้างคะแนนนิยมได้อย่างท่วมท้น

อย่างไรก็ตาม โซเชียลมีเดียคือพื้นที่ของความไม่แน่นอน ยากที่จะพยากรณ์ผลลัพธ์ และสามารถนําไปสู่ ความแปรปรวน (Turbulence) ได้ตลอดเวลา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการเมือง ดังนั้นพรรคการเมือง ที่ใช้นโยบาย Digital  politics จึงมักต้องเผชิญความกดดันจากกองเชียร์ที่มักจะสร้าง ‘แรงกระเพื่อม’ที่อาจทําให้เกิดแรงกดดันต่อกลุ่มการเมืองได้เช่นกัน

ด้วยเหตุผลอย่างน้อยที่สุด 2 ประการคือ การเล่นกับโซเชียลมีเดียเหมือนกับการเล่นกับอารมณ์ของคนหมู่มากซึ่งพร้อมที่จะนําเผือกร้อนมาโยนให้เป็นภาระในการแก้ปัญหาให้พรรคการเมืองอยู่ ตลอดเวลา เป็น "มือที่มองไม่เห็น" และควบคุมไม่ได้ ซึ่งพร้อมที่จะสนับสนุนหรือทําลายทางการเมืองได้เสมอ

แฟ้มภาพ  ตัวอย่างการปลุกระดมทางโซเชียลมีเดีย

นอกจากนี้ การเล่นกับโซเชียลมีเดียคือการต้องเข้าไปเล่นกับข้อมูลจํานวนมากมายมหาศาลที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองที่สามารถสร้างปัญหาให้กับพรรคการเมืองได้ เช่นกัน

การที่ "ด้อมการเมือง"ออกอาการฟาดงวงฟาดงาไปยัง ส.ว.และ กกต.และครอบครัวผ่านโซเชียลมีเดียย่อมไม่เกิดผลดีใดๆเลย เพราะเป็นเสมือนการสร้างความปั่นป่วนและสร้างภาพลบจาก"มือที่มองไม่เห็น" ต่อพรรคการเมืองที่มีความคาดหวังว่าจะเข้ามาบริหารบ้านเมือง

เพราะพฤติกรรม ไล่ล่า ข่มขู่ทําลายล้างธุรกิจของครอบครัวและธุรกิจของ ส.ว.และ กกต. หลังจากทราบผลการโหวตนายกรัฐมนตรี ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนที่จะมีการโหวตครั้งที่ 2 แทนที่จะเป็นผลดีต่อพรรคก้าวไกลและ"คุณพิธา" แต่พฤติกรรมดังกล่าวกลับทําลายโอกาสในการได้รับไมตรี จาก ส.ว.และซํ้าเติมต่อภาพลักษณ์ของ"คุณพิธา"และพรรคก้าวไกลเพียงเพราะความต้องการสนองอารมณ์ขุ่นเคืองของด้อมการเมืองเอง

"ด้อมการเมือง"จึงเป็นทั้งมือไม้ของพรรคการเมืองในช่วงเวลาหนึ่งและสามารถกลายเป็นเครื่องมือที่ย้อนกลับมาทําลายพรรคการเมืองนั้นในอีกสถานการณ์หนึ่งได้ตลอดเวลาและกรรมที่เกิดจากการไล่ล่าผู้อื่นจากอารมณ์ขุ่นเคืองทางการเมืองกําลังกลับมาสนองต่อผู้ล่าด้วยการเอาคืนของกลุ่มส.ว.ผู้ถูกล่าอยู่เช่นกัน

\"ด้อมการเมือง\"บทเรียนซ้ำซากผู้ล่ากำลังถูกไล่ล่า โดย \"พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร\"
 

อ้างอิง

1. https://www.naewna.com/politic/743768
2. https://thestatestimes.com/post/2023071435
3. https://www.isranews.org/article/isranews-article/117498-
isranews-144.htmlความเห็นการเมืองคอนเทนต์แสลงใจในโลกไซ
เบอร์
4. https://www.isranews.org/article/isranews-article/118894-
punsak.html ตั้ งสติก่อนเมืองไทยจะไม่เหมือนเดิม

5. https://www.isranews.org/article/isranews-article/93202-social-3.html 
โซเชียลมีเดีย: จากแหล่งรวมเพื่อนสู่ แหล่งรวมความเกลียดชัง
6.https://www.isranews.org/article/south-news/south-slide/118756-
populistengagement.html ดิสรัปฯเลือกตั้ งไทย จาก "ประชานิยม" สู่"Engagement"

logoline