svasdssvasds
เนชั่นทีวี

คอลัมนิสต์

กราดยิงหมู่ในเมืองไทย อย่าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกโดย "พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร"

24 ตุลาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

คนไทยควรตระหนักว่า พฤติกรรมเลียนแบบการกราดยิงหมู่ทั่วไปและกราดยิงหมู่ในโรงเรียนได้ระบาดเข้ามาถึงเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ติดตามได้เจาะประเด็นโดย "พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร" ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสื่อสาร

 

เหตุกราดยิงที่โคราช เมื่อวันที่  8 กุมภาพันธ์ 2563  สร้างความตกตะลึงแก่คนไทยทั้งประเทศอยู่ไม่น้อยเพราะเป็นการสังหารหมู่แบบปฏิบัติการคนเดียวครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยและประเทศไทยเองก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์กราดยิงในลักษณะนี้มาก่อน การกราดยิงครั้งนี้เป็นการยิงแบบไม่เลือกหน้าเพราะผู้เสียชีวิตจำนวนมากถึง 31 คนและผู้ได้รับบาดเจ็บ 58 คนนั้น มีทั้งเด็ก ผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งมีทั้งบุคคลทั่วไป รวมทั้งตำรวจและทหาร  จากการกระทำของอดีตทหารคนหนึ่งซึ่งภายหลังถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมภายในห้างสรรพสินค้าใหญ่ในเมืองโคราชที่เขาเข้าไปก่อเหตุและหลบซ่อนตัวอยู่นั่นเอง

 

กราดยิงหมู่ในเมืองไทย อย่าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกโดย "พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร"

 

แทบไม่น่าเชื่อว่าเพียงระยะเวลาแค่สองปีเศษเหตุการณ์แบบเดียวกันได้กลับมาสร้างความตกตะลึงให้กับคนไทยอีกครั้งเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565  ซึ่งเป็นเหตุการณ์กราดยิงในลักษณะคล้ายกันจากผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นอดีตตำรวจเพียงคนเดียว แต่ในครั้งนี้ก่อเหตุในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทำให้เด็กที่ไร้เดียงสาต้องสังเวยชีวิตไปมากถึง 24 คนและผู้ใหญ่อีก 13 คน รวมยอดผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 37 คนและบาดเจ็บอีก 10 คน  

 

ทั้งๆที่การถอดบทเรียนจากความสูญเสียครั้งใหญ่ที่โคราชยังไม่ชัดเจนและตกผลึกพอที่จะรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของการก่อเหตุครั้งนั้นเกิดจากแรงจูงใจประเภทใดนอกเหนือจากความคับแค้นผู้บังคับบัญชาที่ถูกเอาเปรียบเรื่องบ้านพักสวัสดิการ จนมาเกิดเหตุกราดยิงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก หนองบัวลำภูอีกครั้ง

 

กราดยิงหมู่ในเมืองไทย อย่าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกโดย "พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร"

 

สังคมไทยจึงเป็นเหมือนสังคมที่เรียกกันว่า ไฟไหม้ฟาง ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน นับตั้งแต่การกวดขันเรื่องวินัยจราจร จนไปถึงปัญหาระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพของคนไทยในภาพรวม  คำพูดที่ว่าคนไทยลืมง่ายและทำอะไรแบบครึ่งๆกลางๆนั้นจึงอาจนำมาใช้ได้กับการถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ใหญ่ๆได้เกือบทุกเหตุการณ์

 

อินเซล-กราดยิงหมู่ : ทฤษฎีเดียวกัน

 

ครั้งที่เกิดเหตุกราดยิงหมู่ที่โคราช ผู้เขียนได้เขียนบทความชื่อ "มาโนสเฟียร์ : จากอาณาจักรออนไลน์สู่แดนสังหาร"  ซึ่งกล่าวถึงพฤติกรรมการก่อเหตุของพวก "อินเซล" (incel : Involuntary Celibate)  ที่ใช้ความรุนแรงในการสังหารหมู่เมื่อ วันที่ 23 พ.ค. ปี 2014 ที่ชุมชน อิสลา วิสต้า (Isla Vista) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ใกล้กับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขต ซานตา บาร์บารา  โดย  เอลเลียต  รอดเจอร์ หนุ่มน้อยวัยเพียง 22 ปี ใช้อาวุธปืนและมีดสังหารผู้บริสุทธิ์ไปถึง 6 คนและบาดเจ็บอีกจำนวนมาก โดยผู้ก่อเหตุได้ฆ่าตัวตายตามในรถของตัวเอง และเขาได้ประกาศตัวเองว่าเขาคือ "อินเซล" (หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มคนที่ไม่สามารถหาคู่เพื่อมีเพศสัมพันธ์ได้แม้ว่าจะมีความต้องการก็ตามและยังรวมไปถึงกลุ่มคนวัยหนุ่มผู้ซึ่งมีความโกรธแค้นจากการถูกปฏิเสธจากผู้หญิงด้วย)  

 

เหตุการณ์กราดยิง ที่จ.นครราชสีมา ในอดีต

 

นับตั้งแต่การสังหารที่ อิสลา วิสต้า ทำให้ เอลเลียต รอดเจอร์ กลายเป็นฮีโร่ของพวกอินเซลบางคน ดังนั้นการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ของเขาจึงได้รับการยกย่องจากพวกอินเซลที่นิยมความรุนแรงอย่างท่วมท้น เมื่อถึงวันครบรอบวันสังหารคราวใด เหล่าบรรดาสาวก อินเซล ยังได้โพสต์รูปและข้อความแสดงความอาลัยและยกย่อง ต่อการกระทำอันน่าสยองขวัญของเขาโดยไม่ได้มีความสำนึกเลยว่าสิ่งที่ เอลเลียต รอดเจอร์ กระทำไปนั้นคือการฆ่าหมู่ที่สะเทือนใจคนอเมริกันมากที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง


แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือเกิด "พฤติกรรมเลียนแบบ" เอลเลียต รอดเจอร์ ขึ้นในแคนาดา เมื่อหนุ่มวัยเบญจเพศ ชื่อ อเล็ก ไมนาสเซียน ขับรถตู้พุ่งชนผู้คนที่เดินอยู่บนถนนตายไปถึง 10 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 16 คน ในอีก 4 ปีต่อมา

 

หลังจากถูกจับ ไมนาสเซียน ได้ให้สัมภาษณ์ ว่า เขาไม่เคยมีแฟนและยังไม่เคยเสียความบริสุทธิ์ เขาสารภาพว่าสิ่งที่เขาทำไม่มีการวางแผนมาก่อน ทันทีที่เขาเห็นผู้คนเดินบนถนน เขาตัดสินใจเร่งรถพุ่งเข้าหาฝูงชนในทันที และประโยคที่ทำให้ผู้ฟังต้องขนลุกก็คือ "เขารู้สึกเหมือนว่า ภารกิจของเขาได้สำเร็จแล้ว"


ก่อนก่อเหตุไม่ถึงชั่วโมง ไมนาสเซียนได้โพสต์ข้อความบนเพจของเขา บนเฟซบุ๊ก ซึ่งทาง  เฟซบุ๊ก ออกมายืนยันในภายหลังว่าเป็นเพจของเขาจริง ข้อความบน เฟซบุ๊ก ที่เขาโพสได้ กล่าว สรรเสริญ เอลเลียต รอดเจอร์ และในทำนองเดียวกันปฏิบัติการของ ไมนาสเซียน ได้รับการยกย่องจากสังคมอินเซลไม่ต่างจากปฏิบัติการของ เอลเลียต รอดเจอร์ ที่ ไมนาสเซียส ถือว่าเป็นฮีโร่ในใจของเขา

 

หนุ่ม 18 กราดยิงซุปเปอร์มาร์เก็ตในนิวยอร์ก-ตาย 10 -บาดเจ็บ 3 /15 พ.ค.65

 

ในบทความข้างต้นผู้เขียนได้ให้ความเห็นส่วนหนึ่งเอาไว้ว่า "การสูญเสียครั้งใหญ่ๆของชีวิตมนุษย์จาก การสังหารหมู่ การสูญเสียจากภัยธรรมชาติ หรืออุบัติเหตุร้ายแรงมักจะให้บทเรียนราคาแพงต่อผู้อยู่ข้างหลังเสมอ แต่บทเรียนที่ได้รับมักจะถูกลืมในระยะเวลาอันสั้นดังคลื่นกระทบฝั่ง  โศกนาฏกรรมจากการสังหารหมู่ต่อเนื่องที่โคราชควรเป็นเรื่องที่คนไทยต้องเรียนรู้และติดตามการวิเคราะห์ในทางลึกถึงมูลเหตุจูงใจต่อพฤติกรรมการสังหารและคงจะเป็นเรื่องน่าเสียดายหากไม่มีการศึกษาบทเรียนนี้อย่างจริงจังและนำมาเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้ เพราะพฤติกรรมการก่อเหตุครั้งนี้มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศหลายเหตุการณ์ ซึ่งใช้เป็นกรณีศึกษา นำมาสู่ข้อสรุปและเปิดเผยให้สาธารณะได้รับทราบในภายหลัง"

 

และในบทความเดียวกันผู้เขียนได้แสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่ออนาคตของคนไทยต่อเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตว่า  "ปฏิบัติการของอินเซลพวกนิยมความรุนแรงที่ผ่านมามักเป็นปฏิบัติการแบบ โลนวูล์ฟ ซึ่งเป็นปฏิบัติการของหมาป่าตัวเดียว คล้ายกับการสังหารที่โคราชเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่ควรวางใจว่าการสังหารลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในเมืองไทยเพราะพฤติกรรมเลียนแบบฮีโร่สามารถเกิดขึ้นผ่านโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลาและมีความเป็นไปได้ว่ามือสังหารที่โคราชได้กลายเป็นพระเอกในใจของใครบางคนไปแล้ว"


(อ่านบทความ    https://www.isranews.org/content-page/item/85643-article-85643.html )

 

เกิดเหตุกราดยิงรร.ประถมรัฐเท็กซัส-เสียชีวิต 21 ราย / 25 พ.ค.65

 

การปฏิบัติการกราดยิงและการสังหารหมู่ของพวกอินเซลซึ่งถือเป็นความรุนแรงที่สุดขั้วและเป็นเหมือนการแพร่ระบาดของการกระทำของพวกอินเซล(Incel contagion) ที่เกิดคู่ขนานกับการแพร่ระบาดของการยิงกราดในโรงเรียน(School shooting contagion)  อย่างแยกกันแทบไม่ออกและในภายหลังยิ่งมีการแพร่กระจายข่าวผ่านสื่อประเภทโซเชียลมีเดีย จนเหตการณ์นั้น กลายเป็นพิมพ์เขียวของคนบางจำพวกที่ต้องการลอกเลียนแบบพฤติกรรมรุนแรงที่ง่ายดายยิ่งขึ้น
การระบาดของความรุนแรง

 

การมีชีวิตในโลกดิจิทัลทำให้คนบางคนอยู่ในสภาวะว่างเปล่าทางอารมณ์ (หมดหวัง  อ้างว้าง โดดเดี่ยว) และอยู่ในโลกที่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากผู้คนอย่างไม่รู้จบ  สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเชื่อเพลิงที่สามารถสร้างสภาวะการกราดยิงหมู่ในโรงเรียนและในสถานที่สาธารณะได้ ไม่ยากถ้าสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมอเมริกันที่ปืนหาง่ายพอๆกับน้ำอัดลม เป็นสังคมที่เกิดการยิงกราดอยู่บ่อยครั้งจนกลายเป็นต้นแบบของการยิงกราดหมู่ที่มักเป็นข่าวอยู่เสมอ


ในขณะที่สังคมอเมริกันกำลังเผชิญกับเหตุกราดยิงในโรงเรียน  แต่ในประเทศจีนซึ่งเข้มงวดเรื่องอาวุธกลับพบว่ามีการทำร้ายหมู่โดยการใช้มีดแทงเหยื่อในโรงเรียนอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน  ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าการระบาดของการทำร้ายหมู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงเรียนสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศที่ อยู่ห่างกันคนละซีกโลก มีระบบการปกครอง ภาษาและวัฒนธรรมที่ต่างกันและใช้อาวุธคนละประเภทกัน แต่สามารถก่อเหตุน่าสลดได้ไม่แพ้กัน
อเมริกา : ต้นแบบกราดยิงในโรงเรียน


จากข้อมูลของการรวบรวมสถิติการทำร้ายด้วยความรุนแรงในสถานศึกษาพบข้อมูลที่น่าตกใจว่า ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมามีเหตุการณ์ความรุนแรงจากการใช้อาวุธปืนในโรงเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกามากถึง 1,316 ครั้ง (เข้าใจว่าเป็นข้อมูลที่รวมทั้งการกราดยิงหมู่และการใช้อาวุธปืนโดยทั่วไป)

 

นับตั้งแต่นั้นมาการใช้อาวุธปืนในโรงเรียนได้สร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้คนในสังคมอเมริกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพ่อ-แม่ ผู้ปกครองของเด็กในวัยเรียนต้องตกอยู่ในภาวะหวาดระแวงจากการกราดยิงหมู่ตลอดเวลานับสิบๆปีที่ผ่านมา

 

นักเรียน 2 คนก่อเหตุยิงเพื่อนเสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บ 7 คนในโรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้กับโรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ รัฐโคโลราโด ที่เคยเกิดเหตุกราดยิง 13 ศพเมื่อ 20 ปีก่อน/ 8 พ.ค.62

การกราดยิงครั้งใหญ่ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลกและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มการกราดยิงในสหรัฐอเมริกาคงไม่มีครั้งไหนได้รับการกล่าวขวัญมากเท่าเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์(Columbine high school) ในปี 1999 เมื่อเด็กหนุ่มสองคน ชื่อ อิริค แฮริส( Eric Harris) และไดแลน คลีโบลด์(Dylan Klebold)  ก่อเหตุกราดยิงเด็กนักเรียนในโรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์และครูเสียชีวิตไปทั้งสิ้น 15 คนและบาดเจ็บอีก 24 คน 


โศกนาฏกรรมครั้งนั้นแม้ว่าจะถือเป็นการเริ่มต้นการกราดยิงในสังคมอเมริกันครั้งใหญ่และกลายเป็นรูปแบบของการกราดยิงหมู่ที่รู้จักกันในชื่อว่า ปรากฏการณ์ โคลัมไบน์ (Columbine effect)  แต่การกราดยิงที่โคลัมไบน์ไม่ใช่การกราดยิงครั้งแรกในสังคมอเมริกัน

กราดยิงหมู่ในเมืองไทย อย่าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกโดย "พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร"

หากย้อนกลับไปในปี 1966 ก็เคยเกิดเหตุการณ์กราดยิงหมู่มาแล้วจากน้ำมือของนักศึกษามหาวิทยาลัยเท็กซัสชื่อ ชาลส์ โจเซฟ วิทแมน(Charls Joseph Whitman) ที่สังหารแม่และภรรยาของตัวเองด้วยมีดและสังหารผู้คนในมหาวิทยาลัยโดยการกราดยิงจากหอคอยมหาวิทยาลัยไปมากถึง 18 คนและบาดเจ็บอีก 31 คน   จนกลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อ การยิงที่หอคอยเท็กซัส(Texas tower shooting) 

 

พฤติกรรมเลียนแบบฮีโร่

 

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนปี 1966 การกราดยิงหมู่ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมอเมริกันมาก่อนและหลังจากการกราดยิงที่เท็กซัสเป็นต้นมาการกราดยิงในโรงเรียนอเมริกันเกิดอีกครั้งเดียวในเวลาไล่เลี่ยกันและหลังจากนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย จนกระทั่งเกิดเหตุกราดยิงที่โรงเรียนโคลัมไบน์ในอีก 33 ปีต่อมาและนับจากการกราดยิงที่โคลัมไบน์เป็นต้นมา การกราดยิงในโรงเรียนในสังคมอเมริกันเริ่มแพร่หลายและกลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง สถิติการกราดยิงสองครั้งในปี 1966 จนถึงการกราดยิงในโรงเรียนที่เกิดขึ้นในทุก 8 วันในปี 2018 จึงเป็นการเพิ่มจำนวนการกราดยิงที่น่าตกใจอย่างยิ่ง       

 

การกราดยิงหมู่หลายต่อหลายครั้งในสหรัฐอเมริกาเป็นการกราดยิงที่เกิดจากการเลียนแบบฆาตกร ซึ่งคาดว่าเกิดจากการรับรู้จากการเผยแพร่ข่าวจากสื่อโดยการนำเสนอของนักข่าวที่น่าเชื่อถือในสังคมอเมริกันในขณะนั้น จนอาจทำให้เกิดแรงจูงใจสำคัญในการเลียนแบบ เพราะเพียงไม่กี่เดือนจากการกราดยิงหมู่ครั้งแรก ได้มีการกราดยิงในลักษณะเดียวกันที่วิทยาลัยการเสริมสวยโรส-มาร์ (Rose –Mar College of Beauty) รัฐอริโซน่า ด้วยน้ำมือของหนุ่มน้อยวัยเพียง 18 ปี ที่ชื่อ บ็อบ สมิธ(Bob Smith) จนทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 5 คน และบาดเจ็บอีก 2 คน โดยเขาได้สารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในภายหลังว่าเขาปฏิบัติการโดยการเลียนแบบฆาตกร วิทแมน จากเหตุการณ์การกราดยิงที่หอคอยเท็กซัสเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาทั้งๆที่ก่อนหน้าเหตุกราดยิงที่เท็กซัส สังคมอเมริกันไม่เคยเผชิญเหตุกราดยิงหมู่มาก่อน

 

หนุ่มวัย 18 ปี กราดยิง รร. ประถม ในรัฐเท็กซัส จนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 คน / 25 พ.ค.65

 

การตั้งข้อสังเกตว่าการเผยแพร่เหตุความรุนแรงจากสื่อในยุคนั้นคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการระบาดของการเลียนแบบการกราดยิงในโรงเรียนอเมริกัน ซึ่งเป็นการเลียนแบบผ่านสื่อในยุคที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดียใดๆเกิดขึ้นและหากข้อสังเกตจากการเลียนแบบที่เกิดจากสื่อขณะนั้นเป็นปัจจัยสำคัญของการเลียนแบบฆาตกร  คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเลียนแบบฆาตกรในยุคโซเชียลมีเดียจะรวดเร็ว รุนแรง และกว้างขวางมากมายเพียงใดและที่น่ากังวลมากที่สุดคือแนวคิดและพฤติกรรมของฆาตกรที่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนทั้งโลกผ่านโซเชียลมีเดียทั้งในรูปแบบของการไลฟ์สดก็ดีหรือการเผยแพร่ความน่าสะพรึงกลัวของเหตุการณ์ออกไปเพื่อให้โลกจดจำก็ดี  

 

เหตุการณ์เหล่านี้สามารถจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในมุมไหนของโลกในยุคที่ผู้คนไม่ได้มองมนุษย์ด้วยความสูงส่งกว่าวัตถุ พวกเขาจึงสามารถจะทำสิ่งเลวร้ายที่เกินความคาดหมายของคนทั่วไปได้เสมอในการเรียกร้องความสนใจเพื่อความเด่นดังของตัวเองโดยไม่ยินดียินร้ายต่อความ ผิดชอบ ชั่ว ดีใดๆทั้งสิ้น


ลักษณะของผู้ก่อเหตุ

 

จากเหตุการณ์กราดยิงหมู่ที่เกิดขึ้นในโลกรวมทั้งในเมืองไทย  ผู้ก่อเหตุเกือบทุกรายมักถึงจุดจบด้วยการปลิดชีพตัวเองหรือถูกวิสามัญฆาตกรรม จึงยากที่จะหยั่งรู้ได้ถึงแรงบันดาลใจที่ได้กระทำลงไปและหลายกรณีหาข้อสรุปไม่ได้ เช่น การกราดยิงที่โคลัมไบน์หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่โคราชและหนองบัวลำภู  แต่จากการศึกษาพบว่าบุคคลเหล่านี้มักมีคุณลักษณะเฉพาะตัวที่มักแสดงออกใกล้เคียงกันเป็นต้นว่า


๏ ผู้ก่อเหตุมีปัญหาทางจิต(Mental illness) : อยู่ในภาวะซึมเศร้า (Depression)และอื่นๆ  (เช่น การกราดยิงที่สถาบันโปลีเทคนิคแห่งเวอร์จิเนียและการกราดยิงที่โรงเรียนโคลัมไบน์ )     


๏ ผู้ก่อเหตุมีบุคลิกไม่กล้าเข้าสังคม(Socially awkward) และเก็บเนื้อเก็บตัว/โดดเดี่ยว(Isolated)


๏ ผู้ก่อเหตุถูกข่มเหงรังแก(Bully)  ( เช่น กรณีการกราดยิงที่โรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ และการกราดยิงที่สถาบันโปลีเทคนิคแห่งเวอร์จิเนีย ) 


๏ ผู้ก่อเหตุนิยมชมชอบการเล่นเกม(Gamer) ( เช่น กรณีการกราดยิงที่โรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์)


๏ ผู้ก่อเหตุประกาศถึงแรงจูงใจจากฆาตกรที่เคยก่อเหตุกราดยิงก่อนหน้าหรือมีการคอมเมนต์หรือประกาศบนโซเชียลมีเดียเพื่อเรียกร้องความสนใจให้มากที่สุด(Gain maximum attention) ต่อการกระทำของตัวเองหรือแม้แต่แจ้งไปยังสำนักข่าวถึงแผนปฏิบัติการของตนเอง เป็นต้น (เช่น กรณี อเล็ก ไมนาสเซียน ที่ขับรถพุ่งชนคนตายในแคนาดาและโช ซึงฮุย จากการกราดยิงที่สถาบันโปลีเทคนิคแห่งเวอร์จิเนีย ) 


จากรายงานที่เผยแพร่ยังไม่พบรายงานว่าผู้ก่อเหตุในสหรัฐอเมริกามีปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างชัดเจนและผู้ก่อเหตุกราดยิงในโรงเรียนส่วนใหญ่มักเป็นนักศึกษาและมีอายุน้อย ในขณะที่การก่อเหตุกราดยิงครั้งใหญ่ในเมืองไทยผู้ก่อเหตุทั้งสองรายเป็นบุคคลในเครื่องแบบทั้งตำรวจและทหารซึ่งเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนและหนึ่งรายมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด


เกมสังหารหมู่ : นวัตกรรมวิบัติ


แทบไม่น่าเชื่อว่านอกจากมีการเลียนแบบความโหดเหี้ยมของฆาตกรซึ่งคนเหล่านั้นถือว่าเป็นฮีโร่ของตัวเองแล้ว นักเทคโนโลยีจำนวนหนึ่งยังฉวยโอกาสนำเอาเหตุการณ์กราดยิงครั้งใหญ่ๆของโลกไปพัฒนาเป็นเกมให้มนุษย์ได้ประหัตประหารกันบนหน้าจออย่างเมามันเหมือนกับการปฏิบัติการของฆาตกรโดยไม่ได้สนใจต่อความเจ็บปวดของครอบครัวผู้สูญเสียที่อยู่ข้างหลังหรือความอ่อนโยนในฐานะที่เป็นมนุษย์แม้แต่น้อย


เท่าที่ปรากฏตามข่าวพบว่าอย่างน้อยที่สุดมีการนำเรื่องราวของการกราดยิงและสังหารหมู่ในชีวิตจริงสองเหตุการณ์ไปพัฒนาเป็นเกมที่ชื่อว่าColumbine massacre RPG! โดยให้ผู้เล่นเกมสวมบทบาทเป็นแฮริสและคลีโบล์ สองฆาตกรตัวจริงและทำการไล่ล่าเพื่อสังหารเหยื่อในโรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์   ในขณะที่การกราดยิงที่สถาบันโปลีเทคนิคแห่งเวอจิเนียร์ (Virginia Polytechnic Institute) ซึ่งมีผู้เสียชีวิตถึง 33 คนและบาดเจ็บอีก 23 คนและถือเป็นการสังหารหมู่ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์การกราดยิงในโรงเรียนของสหรัฐอเมริกา ได้ถูกนำเรื่องราวไปพัฒนาเป็นเกมที่ชื่อว่า V-Tech Rampage


การพัฒนาเกมทั้งสองเกมได้รับการชื่นชมจากวงการเกมว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์และเป็นนวัตกรรมของเกมในขณะที่อีกด้านหนึ่งผู้พัฒนาเกมถูกประณามและถูกกดดันอย่างหนักจากสื่อเพื่อให้ยุติการนำเกมออกให้บริการ


การที่ผู้พัฒนาเกมได้นำเหตุการณ์ซึ่งเป็นที่สุดของสองเหตุการณ์กราดยิงมาเป็นจุดขายในการพัฒนาเกมโดยไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังกระทำการอันไม่เหมาะสมทั้งปวงต่อความเป็นมนุษย์และยังเป็นการสนับสนุนให้มีการยกย่องความเป็นฮีโร่ของฆาตกรอีกด้วย  จึงทำให้เกมทั้งสองกลายเป็นนวัตกรรมวิบัติที่ไม่ควรถือเป็นเยี่ยงอย่างแม้ว่าผู้พัฒนาจะใช้เหตุผลร้อยแปดในเรื่องความสร้างสรรค์และนวัตกรรมมาเป็นข้ออ้างก็ตาม

 

กราดยิงหมู่ในเมืองไทย อย่าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกโดย "พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร"

 

ลางบอกเหตุ    

 

ก่อนการกราดยิงและสังหารผู้คนด้วยอาวุธมีดที่หนองบัวลำภูจะเกิดขึ้นเพียงไม่ถึงสัปดาห์ มีรายงานข่าวเกี่ยวกับการกราดยิงในสหรัฐอเมริกาให้ได้ยินอยู่หนาหู  จากรายงานพบว่าระหว่างวันที่ 13-30 กันยายน 2565 ที่ผ่านมามีการข่มขู่ว่าจะมีการกราดยิงในโรงเรียนของรัฐต่างๆจำนวนมากถึง 92 ครั้งใน 16 รัฐ แต่เมื่อตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพบว่าเป็นการโทรศัพท์หลอกลวงเพื่อให้เจ้าหน้าที่เกิดความโกลาหลและไปยังสถานที่รับแจ้งว่าจะเกิดเหตุแต่คว้าน้ำเหลวเพราะไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง เหตุการณ์ใช้โทรศัพท์หลอกลวงไปที่เกิดเหตุประเภทนี้รู้จักกันในชื่อ Swatting 


โรงเรียนเป้าหมายล้วนเป็นโรงเรียนไฮสคูลของรัฐต่างๆทั้ง 16 รัฐทั่วสหรัฐอเมริกา การแจ้งเหตุกราดยิงลวงในครั้งนี้ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ไม่น้อยเพราะแต่ละพื้นที่ที่ได้รับแจ้งเหตุได้มีการระดมสรรพกำลังไปยังที่เกิดเหตุด้วยความเร่งรีบและต้องทิ้งงาน อื่นๆทั้งหมดเพื่อภารกิจฉุกเฉินเร่งด่วน


พฤติกรรม Swatting ในการหลอกลวงเจ้าหน้าที่ในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นมานานนับสิบปี แม้เหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นจริงแต่ได้สร้างความความอกสั่นขวัญแขวนต่อทั้งนักเรียน พ่อ-แม่และครูโดยทั่วหน้าทุกครั้งที่มีการข่มขู่และการกระทำเหล่านี้อาจเป็นลางบอกเหตุที่อาจเกิดเหตุการณ์กราดยิงจริงๆได้ตลอดเวลาเช่นกัน


จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญพบว่าพฤติกรรม Swatting ที่เกิดขึ้นในแต่ละรัฐมีความเชื่อมโยงกันและหลายสถานที่อาจเป็นคนเพียงคนเดียวที่สร้างความโกลาหลให้ผู้คนจำนวนมาก รวมทั้งยังชี้ว่าข่าวการหลอกลวงเกี่ยวกับการกราดยิงในโรงเรียนอาจนำไปสู่การเลียนแบบได้ไม่มากก็น้อย สังคมอเมริกันจึงเป็นสังคมที่ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวต่อการสังหารหมู่ซึ่งทวีความถี่มากขึ้นทุกทีและหากมีเหตุการณ์จริงเกิดซ้อนกับ Swatting  ยิ่งจะสร้างความสับสนต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มากขึ้นไปอีก


ผู้ก่อเหตุบางรายอาจทิ้งเบาะแสเอาไว้ก่อนเกิดเหตุ เป็นต้นว่า อเล็ก ไมนาสเซียน ซึ่งมีพฤติกรรมเลียนแบบ เอลเลียต รอดเจอร์ ได้โพสเฟซบุ๊กสรรเสริญ เอลเลียต รอดเจอร์ ก่อนก่อเหตุเพียงไม่ถึงชั่วโมง หรือ ในกรณีของการกราดยิงที่โรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ ซึ่งมีการแสดงให้เห็นถึงเบาะแสการก่อเหตุนานนับปี ตั้งแต่ผู้ก่อเหตุเริ่มสร้างเว็บไซต์เกี่ยวกับเกมที่ตัวเองชื่นชอบและโพสข้อความแสดงให้เห็นถึงระดับการเล่นเกมการยิงของตัวเอง จนถึงการเขียนบล็อกพรรณนาถึงความโกรธเกลียดเกี่ยวกับชีวิตและ วางแผนการซื้ออาวุธปืนเพื่อก่อเหตุ หรือ กรณีของ โช ซึง ฮุย จากการกราดยิงที่ สถาบันโปลีเทคนิคแห่งเวอจิเนียร์ ได้ถ่ายวิดิโอคำประกาศของตัวเองและแจ้งไปยังสำนักข่าว NBC ก่อนที่เขาจะก่อเหตุ เป็นต้น

 

กราดยิงหมู่ในเมืองไทย อย่าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกโดย "พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร"

 

โอกาสเกิดเหตุซ้ำในเมืองไทย


การก่อเหตุกราดยิงหมู่แบบปฏิบัติการเดี่ยวเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นในเมืองไทย แต่ก็เกิดขึ้นมาแล้วจากเหตุการณ์ที่โคราชและเกิดซ้ำอีกที่หนองบัวลำภูภายในระยะเวลาห่างกันเพียงสองปีเศษ  ในอนาคตจึงไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกหรือไม่ภายในระยะเวลาอีกกี่ปี


หากย้อนดูประวัติศาสตร์การกราดยิงในสหรัฐอเมริกาซึ่งก่อนปี 1966 ไม่เคยเกิดเหตุกราดยิงหมู่มาก่อน แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งแรกจึงเริ่มเห็นการปฏิบัติการในลักษณะเดียวกันเกิดตามมาหลายต่อหลายครั้ง  แม้ว่าบางช่วงเวลาจะว่างเว้นไปนานหลายปี แต่หลังจากเหตุการณ์กราดยิงครั้งใหญ่ที่โรงเรียนโคลัมไบน์เป็นต้นมา เหตุกราดยิงในโรงเรียนเริ่มเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นต้นแบบของการกราดยิงในโรงเรียนที่รู้จักกันโดยทั่วไป


การกราดยิงหมู่ที่คร่าชีวิตผู้คนจึงเป็นเหมือนปฏิกิริยาการแพร่ระบาดของความรุนแรงในสังคมที่อาจเกิดภายในประเทศหนึ่ง แต่สามารถแพร่ไปยังประเทศอื่นๆได้ด้วยการนำเสนอของสื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านโซเชียลมีเดียที่สามารถเข้าถึงทุกซอกทุกมุมของโลกภายในเสี้ยววินาทีจึงทำให้คนบางคนสามารถที่จะเลียนแบบพฤติกรรมความรุนแรงได้อย่างง่ายดาย  

 

กราดยิงหมู่ในเมืองไทย อย่าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกโดย "พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร"

 

การระบาดของความรุนแรงด้วยวิธีเลียนแบบเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้ต่างจากพฤติกรรมการเลียนแบบการฆ่าตัวตายซึ่งรู้จักกันในชื่อ ปรากฏการณ์เวอร์เธอร์ (Werther fever) ซึ่งเป็นการเลียนแบบการฆ่าตัวตายจากบุคคลต้นแบบซึ่งเป็นฮีโร่ในใจของตัวเองหรือแม้แต่ตัวละครสมมุติในหนังสือนิยาย 


นักจิตวิทยาอธิบายถึงปรากฏการณ์นี้ว่า เมื่อใครก็ตามสามารถกระทำในสิ่งที่สุดขั้วครั้งแรกได้สำเร็จ การกระทำนั้นจะไปลดภูมิต้านทานของการกระทำความรุนแรงลงและเป็นเสมือนประตูที่เปิดให้คนต่อๆไปกระทำความรุนแรงแบบเดียวกันได้ง่ายขึ้น  สาระสำคัญของ ปรากฏการณ์เวอร์เธอร์ จึงสามารถนำไปใช้อธิบายถึงความเชื่อมโยงของ พฤติกรรมความรุนแรงของพวกอินเซล การกราดยิงหมู่และการเลียนแบบการฆ่าตัวตายซึ่งเกิดกับคนหมู่มากได้


การกระทำที่สุดขั้วจากเหตุการณ์กราดยิง จึงสะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์เวอร์เธอร์ได้เช่นกัน เพราะเมื่อการกราดยิงหมู่ครั้งแรกซึ่งเป็นการกระทำที่สุดขั้วสำเร็จ การกราดยิงครั้งต่อมาจึงเกิดขึ้นโดยไม่ยาก เพราะกำแพงความต้านทานต่อการกระทำสิ่งที่สุดขั้ว (Threshold)  ถูกลดระดับลงจนถึงระดับที่ยอมให้เหตุการณ์ต่อๆไปสามารถเกิดขึ้นได้ในระดับความรุนแรงที่ เท่ากัน น้อยกว่าหรือมากกว่า จนกลายเป็นปฏิบัติการที่ดูเหมือนปกติ ดังเช่นการกราดยิงในโรงเรียนที่เกิดขึ้นซ้ำซากในสหรัฐอเมริกาเพราะกำแพงต่อต้านความรุนแรงในสังคมอเมริกันได้ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว  เราจึงต้องไม่ยอมรับในความเป็นปกติของความรุนแรงเหล่านี้ในสังคมไทยเป็นอันขาด  มาตรการการเข้มงวดอาวุธปืนและยาเสพติดอาจเป็นมาตรการทางวัตถุที่สามารถจับต้องได้ แต่สภาพจิตใจและแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุคือกุญแจสำคัญที่สังคมไทยต้องร่วมกันหาทางออก

 

คนไทยควรตระหนักว่า พฤติกรรมเลียนแบบการกราดยิงหมู่ทั่วไปและกราดยิงหมู่ในโรงเรียนได้ระบาดเข้ามาถึงเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากดูจากประวัติศาสตร์การกราดยิงในสหรัฐอเมริกาทั้ง รูปแบบ ระดับความรุนแรง จำนวนผู้เสียชีวิต การใช้อาวุธ และองค์ประกอบแวดล้อมอื่นๆแล้ว สังคมไทยกำลังเข้าใกล้ต้นแบบความรุนแรงในสหรัฐอเมริกาเข้าไปทุกที  เพราะเหตุการณ์รุนแรงที่โคราชและหนองบัวลำภูได้ทำให้ภูมิคุ้มกันที่ต้านความรุนแรงในสังคมไทยถูกลดระดับลงจนเป็นที่น่าหวาดหวั่นว่าเหตุการณ์ครั้งต่อๆไปน่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นต่อเนื่องดังเช่นในสังคมอเมริกันได้ไม่มากก็น้อยหากเงื่อนไขเกี่ยวกับ  อาวุธ  อารมณ์และสิ่งแวดล้อมของการก่อเหตุมาบรรจบกันอย่างลงตัวพอดี
 

อ้างอิง


1.Wikipedia :เหตุกราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2563
2.Wikipedia :เหตุกราดยิงที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. 2565
3.https://www.isranews.org/content-page/item/85643-article-85643.html
4.Digital Madness โดย Nicholas Kardaras 
5.https://www.wired.com/story/swatting-schools-us-september-2022/
6.Wikipedia : Columbine_High_School_massacre
7.https://www.britannica.com/topic/school-shooting
8.http://www.acolumbinesite.com/ericpage.php

 

logoline