3 มิถุนายน 2566 อาจารย์พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร นักวิชาการอิสระด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร เปิดเผยว่า หลังเลือกตั้งเพียงไม่กี่วัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “ข่าวลือหรือข่าวจริง ช่วงเลือกตั้ง 2566”
โดยได้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 18-22 พฤษภาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับข่าวลือหรือข่าวจริงช่วงเลือกตั้ง 2566 โดยมีผลการสำรวจสรุปได้ดังนี้
คำถาม 1 : ความเชื่อของประชาชนต่อข่าวพรรคการเมืองมีการใช้ปฏิบัติการสร้างข่าว ปั่นกระแสผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เพื่อโจมตีพรรคการเมืองคู่แข่ง
ผลสำรวจ : ตัวอย่าง ร้อยละ 31.22 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ รองลงมา ร้อยละ 25.27 ระบุว่า เชื่อมาก ร้อยละ 23.59 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย ร้อยละ 19.31 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ และร้อยละ 0.61 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ขยายความ : การปฏิบัติการด้าน การข่าวเพื่อโจมตีพรรคคู่แข่ง เป็นความจริงหรือไม่ยัง เป็นคำถามอยู่ เพราะมีทั้งการกล่าวหาและการปฏิเสธจากพรรคการเมืองที่ตกเป็นข่าว แต่ผลสำรวจค่อนข้างเชื่อว่ามีอยู่จริง โดยผลสำรวจ เอนเอียงไปในทางเชื่อ 56.49 เปอร์เซ็นต์ (ร้อยละ 31.22 ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 25.27 เชื่อมาก) และ เอนเอียงไปทางไม่เชื่อ 42.9 เปอร์เซ็นต์ (ร้อยละ 23.59 ไม่เชื่อเลย ร้อยละ 19.31 ไม่ค่อยเชื่อ)
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวหากันทางสื่อออนไลน์และโต้ตอบระหว่างกันให้เห็นเป็นข่าวอยู่หลายกรณี เป็นต้นว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ โทนี่ วู้ดซั่ม กล่าวในรายการ CareTalk x CareClubHouse ทางช่องยูทูบ CARE คิดเคลื่อนไทย ว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง เป็นเพราะมีปฏิบัติการ IO ในขณะที่มีการตอบโต้จาก นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล "ยืนยันพรรคก้าวไกลไม่มีปฏิบัติการแบบนั้น และไม่มีงบประมาณที่จะทำอะไรแบบนั้น ถึงมีก็ไม่ทำ และหากจะให้ความเห็นเพิ่ม ตนคิดว่าไม่ว่าพรรคการเมืองใดคงจะต้องปรับทัศนคติและวิธีคิด ไม่เช่นนั้นการทำงานการเมืองจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในระยะยาว" (อ้างอิง 2)
อย่างไรก็ตาม การโจมตีทางการเมืองผ่านโซเชียลมีเดีย เกิดขึ้นได้เสมอและเกิดขึ้นได้ทั่วโลกดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ผ่านโซเชียลมีเดียยอดนิยมและมีฐานผู้ใช้มาก ๆ เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ยูทูป และ TikTok เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม เพื่อหวังผลการเลือกตั้งแล้ว การกระทำดังกล่าวยังส่อให้เห็นถึงพฤติกรรมทางการเมืองที่ไร้จริยธรรม ที่นักการเมืองไม่ควรประพฤติอีกด้วย
คำถาม 2 : ความเชื่อของประชาชนต่อข่าวพรรคการเมืองมีการใช้ปฏิบัติการสร้างข่าว ปั่นกระแสผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เพื่อเพิ่มคะแนนนิยมให้กับพรรคตนเอง
ผลสำรวจ : ตัวอย่าง ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ รองลงมา ร้อยละ 27.40 ระบุว่า เชื่อมาก ร้อยละ 22.06 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย ร้อยละ 19.54 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ขยายความ : คำถามนี้น่าจะไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ว่าจะไม่เป็นความจริงเพราะพรรคการเมืองแทบทุกพรรคต่างสร้างคะแนนนิยมโดยใช้โซเชียลมีเดียกันทั้งสิ้นไม่มากก็น้อย แต่จะใช้กลยุทธ์แบบใดนั้นเป็นวิธีการของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของนิด้าโพล ซึ่งพบว่ามีความเอนเอียงไปในทางเชื่อ 57.48 เปอร์เซ็นต์ (ร้อยละ 30.08 ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 27.40 ระบุว่า เชื่อมาก) เอนเอียงไปทางไม่เชื่อ 41.6 เปอร์เซ็นต์ (ร้อยละ 22.06 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย ร้อยละ 19.54 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ)
การสร้างข่าวปั่นกระแส เพื่อสร้างความนิยมที่มักใช้ได้ผลและใช้กันโดยทั่วไปในทางการเมืองมักใช้วิธีที่เรียกกันว่า การสร้างความนิยมทางการเมืองด้วยหญ้าเทียม (Political Astroturf Movement) ซึ่งจัดให้มีทีมงานขนาดใหญ่ในการสร้างภาพต่อสาธารณะผ่านโซเชียลมีเดียว่าตนเองได้รับความนิยม ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นไม่เคยมีอยู่จริง แต่สร้างกระแสให้เกิดความนิยม เพื่อหวังคะแนนเลือกตั้งคล้ายกับช่วยกันปฏิบัติการปูหญ้าเทียมให้เห็นคล้ายหญ้าจริง
ซึ่งเป็นการสร้างภาพลวงตาแก่กับผู้คนให้สนับสนุนพรรคการเมืองของตนเอง โดยการใช้โซเชียลมีเดียสร้างคอนเทนต์และปั่นยอดไลค์ ยอดแชร์ ฯลฯ ของคอนเทนต์ให้อัลกอริทึมได้ทำหน้าที่จัดการและส่งคอนเทนต์เหล่านี้ออกไป และใช้ปฏิกิริยาโครงข่าย (Network effect) ของโซเชียลมีเดียกระจายออกไปให้คนส่วนใหญ่ได้รับรู้ และเข้าใจว่าเป็นความนิยมจริง ๆ (สอดคล้องกับการทดลองทฤษฎีดาวโหลดเพลงที่สร้างกระแสความนิยมของเพลงขึ้นเองเพื่อให้เพลงนั้นได้รับความนิยม)
อีกวิธีหนึ่งที่มักถูกกล่าวถึงในสร้างกระแสทางการเมืองเป็นวิธีทางการตลาดที่เรียกว่า การตลาดแบบ หว่านเมล็ดพันธุ์ (Big seed marketing) ซึ่งเป็นการผสมผสาน การตลาดแบบปากต่อปาก (Viral Marketing) เข้ากับสื่อทางการตลาดรูปแบบเดิม ๆ ที่เคยใช้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสื่อวิทยุ โทรทัศน์ บิลบอร์ด แผ่นพับ ฯลฯ การผสมผสานดังกล่าวนี้ จะทำให้ผลของการส่งข้อมูลข่าวสารไปยังกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากขึ้น อัตราการส่งต่อของผู้รับข่าวสารก็จะสูงขึ้นมากกว่าการใช้การตลาดแบบ ปากต่อปากเพียงอย่างเดียว
คำถาม 3 : ความเชื่อของประชาชนต่อข่าวการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการแทรกแซงจากต่างชาติ
ผลสำรวจ : ตัวอย่าง ร้อยละ 56.56 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย รองลงมา ร้อยละ 22.21 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ ร้อยละ 11.76 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 8.17 ระบุว่า เชื่อมาก และร้อยละ 1.30 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ขยายความ : โลกโซเชียลมีเดียเป็นโลกไร้พรมแดนที่ใครต่อใครสามารถใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียเพื่อความได้เปรียบของตัวเองอยู่เสมอทั้งในเรื่องทั่วๆไปและในทางการเมือง ในช่วงเลือกตั้งจึงมักได้ยินข่าว การแทรกแซงการเลือกตั้งให้ได้ยินอยู่บ้าง แต่จากผลการสำรวจของนิด้าโพล เมื่อพูดถึงการแทรกแซงการเลือกตั้งจากต่างชาติกลับพบว่า ผลสำรวจส่วนใหญ่ ไม่เชื่อว่ามีการแทรกแซงการเลือกตั้งจากต่างชาติ
โดยพบว่า มีความเอนเองไปทางเชื่อเพียง 19.93 เปอร์เซ็นต์ (ร้อยละ 11.76 ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 8.17 เชื่อมาก) ในขณะที่ ความเอนเอียงไปทางไม่เชื่อ สูงมากถึง 78.77 เปอร์เซ็นต์ (ร้อยละ 56.56 ไม่เชื่อเลย ร้อยละ 22.21 ไม่ค่อยเชื่อ)
ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าคนไทยจำนวนหนึ่ง ไม่เชื่อว่ามีการแทรกแซงจากต่างชาติระหว่างการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ในโลกไซเบอร์ สิ่งที่เราคาดไม่ถึงอาจเกิดขึ้นได้เสมอ เป็นต้นว่า
กรณีที่ 1 การแทรกแซงระหว่างประเทศกับประเทศด้วยกัน
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2016 มีรายงานอ้างว่า รัสเซียใช้โซเชียลมีเดียโจมตีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเพื่อเบี่ยงเบนผลการเลือกตั้ง โดยตรวจพบว่า หน่วยงาน IRA (Internet Research Agency) ของรัสเซียสร้างบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook Twitter Instagram YouTube Google และแพลตฟอร์มยอดนิยมอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา ในการสร้างข่าวปลอมเพื่อไม่ให้มีการโหวตและจูงใจของคนอเมริกันบางรัฐให้เลือก อดีตประธานาธิบดีทรัมป์และโจมตี นางฮิลลารี คลินตัน
ปฏิบัติการของรัสเซียในครั้งนั้น ทำให้เฟคนิวส์จากรัสเซียสามารถเข้าถึงคนอเมริกันอย่างน้อยที่สุดราว 126 ล้านคน บนเฟซบุ๊ก เข้าถึงคน 20 ล้านคนบน Instagram และยังมีการส่งข้อความบน Twitter 10 ล้าน ครั้ง จากบัญชีที่มีผู้ติดตามบน Twitter รวม 6 ล้านคน ในขณะที่รัฐบาลรัสเซียปฏิเสธต่อเรื่องการแทรกแซงดังกล่าว
ไม่เฉพาะสหรัฐอเมริกากับรัสเซียเท่านั้น ที่มีความหวาดระแวงต่อกันในการโจมตีทางไซเบอร์ ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกหลายประเทศที่มีความอ่อนไหวต่อการโฆษณาชวนเชื่อทางไซเบอร์ เช่น ไต้หวัน โปแลนด์ ยูเครน ฯลฯ ต่างเตรียมพร้อมต่อการบิดเบือนข้อมูลทางไซเบอร์อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
กรณีที่ 2 การแทรกแซงผ่านการจ้างบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลเอกชน
ปัจจุบันบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ของโลกสามารถใช้การวิเคราะห์ข้อมูลในการเข้าถึงเป้าหมายได้ไม่ยาก โดยอาศัยหลักการทางการตลาดและปฏิบัติการทางจิตวิทยา(Psychological operations) ในการ ควบคุมอารมณ์(Emotion) ความคิด(Thinking) และ พฤติกรรมของเป้าหมาย โดยใช้เทคนิคการปล่อยข่าวลือ(Rumor) ข่าวบิดเบือน(Disinformation) และข่าวปลอม (Fake news) ผ่านโซเชียลมีเดีย
มีรายงานว่า บริษัทบางแห่งเคยรับจ้างใช้ปฏิบัติการทางจิตวิทยาแบบนี้มาแล้ว กับการแทรกแซงการเลือกตั้งในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมากกว่า 200 ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติการลับที่อาศัยกลโกงเหล่านี้ถูกนำไปใช้กับการเลือกตั้งในประเทศที่ประชาธิปไตยยังไม่พัฒนา(Undeveloped democracies) หลายแห่ง จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า ประชาธิปไตยบนโลกไซเบอร์ นั้น สามารถถูกบิดเบือนได้ตลอดเวลาโดยที่เป้าหมายไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกปั่นหัวจากนักการเมืองผู้ต้องการแสวงหาอำนาจ โดยใช้ความได้เปรียบทางไซเบอร์ที่มีศักยภาพมากพอที่จะทำให้เป้าหมายเบี่ยงเบนความสนใจมาหาตัวเอง หรือแม้แต่เบี่ยงเบนให้เป้าหมายหมดความสนใจและตีจากฝ่ายตรงข้ามได้
ความเชื่อจากการสำรวจผลโพลข้างต้นซึ่งส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า การเลือกตั้งของไทยที่ผ่านมา มีการแทรกแซงจากต่างชาติ แต่มิได้หมายความว่าการแทรกแซงเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะการแทรกแซงการเลือกตั้ง โดยใช้โซเชียลมีเดียเกิดขึ้นได้ในทุกการเลือกตั้งและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกประเทศในโลก ที่โซเชียลมีเดียเข้าถึง ทั้งการแทรกแซงภายในประเทศและจากต่างประเทศและ เรามักจะทราบในภายหลังเสมอว่ามีการแทรกแซงจากผลการตรวจสอบและยืนยันจากองค์กรด้านข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญของแต่ละประเทศ
คำถาม 4 : การได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการเลือกตั้งของประชาชน ในช่วง 6 สัปดาห์ของการหาเสียง
ผลสำรวจ : ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่า จำนวนมากกว่า 20 ข่าว รองลงมา ร้อยละ 22.29 ระบุว่า จำนวน 1-5 ข่าว ร้อยละ 16.26 ระบุว่า จำนวน 6-10 ข่าว ร้อยละ 13.66 ระบุว่า ไม่เคยได้ยินเลย ร้อยละ 10.15 ระบุว่า จำนวน 11-15 ข่าว และร้อยละ 6.72 ระบุว่า จำนวน 16-20 ข่าว
ขยายความ : ข่าวลือบนโลกไซเบอร์เกิดขึ้นได้เสมอและยิ่งในช่วงการเลือกตั้งอย่างน้อยผู้ที่ได้รับข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ตมักจะได้รับข่าวลือทางการเมืองรวมทั้งข้อมูลเท็จเพิ่มเติมจากข่าวลือที่เคยได้รับตามปกติอย่างไม่ต้องสงสัย สอดคล้องกับผลสำรวจ ซึ่งมี ความเอนเอียงไปทางเคยได้ยินข่าวลือมากถึง 86.69 เปอร์เซ็นต์ ( ร้อยละ 30.92 จำนวนมากกว่า 20 ข่าว ร้อยละ 22.29 จำนวน 1-5 ข่าว ร้อยละ 16.26 จำนวน 6-10 ข่าว ร้อยละ 10.15 จำนวน 11-15 ข่าว และร้อยละ 6.72 จำนวน 16-20 ข่าว) ในขณะที่ ความเอนเอียงไปในทางไม่เคยได้ยินข่าวลือมีเพียง 13.66 เปอร์เซ็นต์ (ร้อยละ 13.66 ระบุว่า ไม่เคยได้ยินเลย)
ประชาธิปไตยบนโลกไซเบอร์ คือประชาธิปไตยที่มีความเปราะบางต่อการถูกโน้มน้าวหรือเบี่ยงเบนเพื่อหวังผลทางการเมืองโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทั้ง การใช้บัญชีปลอมร่วมกับการใช้ บอท (Bot :โปรแกรมอัตโนมัติที่ใช้สร้างข้อความสั้นๆและการสนทนาบนโซเชียลมีเดีย) ในการแทรกแซงการเลือกตั้งผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ จนกระทั่งอาจเปลี่ยนแปลงผลทางการเมืองได้ไม่มากก็น้อย สิ่งเหล่านี้คือความท้าทายต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่จะต้องตระหนักและใช้กรณีที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นกรณีศึกษา เพื่อรับมือกับการใช้โซเชียลมีเดียทางการเมืองในการเลือกตั้งในครั้งต่อ ๆ ไป
อ้างอิง
1.https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=634
2.ทักษิณกับพรรคก้าวไกล https://www.naewna.com/politic/731478
3.The Hype Machine โดย Sinan Aral
4.There are no facts โดย Mark Shepard
5.Computational propaganda โดย Samuel C.Woolley และ Philip N.Howard
6.https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/670284