งานขึ้นบ้านใหม่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางปลา จ.สมุทรปราการ ชนินทร์ รื่นเริง เมื่อวันที่ 15 และ 16 มิถุนายน 2564 ชนินทร์ ได้สั่งการให้พนักงาน/เจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลบางปลา นำรถยนต์หลวง ซึ่งเป็นทรัพย์สินของเทศบาลตำบลบางปลา ไปช่วยขนสิ่งของ และอุปกรณ์ เครื่องใช้ภายในงาน บริเวณหมู่ 6 ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
ชาวบ้านในท้องที่ ตำบลบางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรูปราการ มองว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่อาจเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐหรือองค์การบริหารส่วนตำบลบางปลา โดยการนำรถยนต์หลวง ทั้งใช้ขนอุปกรณ์ ใช้รับ-ส่งคนที่มาร่วมงาน
สำหรับรถยนต์ทั้ง 5 คัน ประกอบด้วย
1)รถหกล้อ สีเขียวอ่อน ยี่ห้อ อีซูซุ ทะเบียนเลขที่ 83-5739 สมุทรปราการ
2)รถตู้ สีบรอนเงิน ยี่ห้อ โตโยต้า ทะเบียนเลขที่ นด-3629 สมุทรปราการ
3)รถยนต์ 4 ประตู สีบรอนเงิน ยี่ห้อ โตโยต้ ทะเบียนเลซที่ กจ-4169 สมุทรปราการ
4)รถยนต์ สีบรอนทอง ยี่ห้อ อีซูซุ ทะเบียนเลขที่ กจ - 9781 สมุทรปราการ
5)รถยนต์ 4 ประตู สีดำ ยี่ห้อ อีซูซุ ทะเบียนเลขที่ กฉ - 5329 สมุทรปราการ
นอกจากการนำรถหลวงมาใช้ส่วนตัวแล้ว นายก อบต.บางปลา ยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่ กว่า 10 คน ช่วยขับรถ และขนของในวันงานขึ้นบ้านใหม่ของตนเองด้วย
ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ตั้งประเด็นข้อร้องเรียน หรือพฤติการณ์การทำผิดกฎหมาย
ด้านปลัดอบต.บางปลา ในฐานะผู้บังคับบัญชาฝ่ายข้าราชการ / พนักงานเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลบางปลา เล่าถึงเหตุการณ์วันนั้น ว่า นายกฯ ได้เชิญชวนให้พนักงาน เจ้าหน้าที่อบต. ไปกินข้าวเที่ยงที่บ้าน แต่อาจจะไม่มีโต๊ะเก้าอี้รองรับมากเพียงพอ ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ อบต.บางปลาไปจัดหามาเอง
พศิน ภูแสน ปลัดอบต.บางปลา บอกว่า นายกฯอบต.บางปลาได้จัดงานบุญขึ้นที่บ้านของนายกฯนั้น ได้เชิญชวนให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านนายกฯ แต่อาจจะไม่มีโต๊ะเก้าอี้รองรับมากเพียงพอ ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ อบต.บางปลาไปจัดหามาเอง
เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ศรีสุวรรณ จรรยา เห็นว่า การนำรถยนด์ของทางราชการไปใช้ในกิจกรรมเพื่อประโยชน์ของตนเอง เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตหรือไม่ จึงยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงาน ป.ป.ช. สอบนายก อบต.บางปลา ชนินทร์ รี่นเริง และพวก
ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย บอกว่า เรื่องนี้แม้จะเกิดนานแล้ว แต่พฤติการณ์นำรถหลวงใช้ส่วนตัวเป็นความผิด สมาคมฯไม่สามารถนิ่งเฉยได้ มีหลักฐานต่าง เป็นพยานหลักฐานให้ป.ป.ช.ไต่สวน ป.ป.ช.รับทราบลงพื้นที่เก็บข้อมูลแล้ว
สำนักงาน ป.ป.ช.สมุทรปราการ สอบถามข้อเท็จจริงจากปลัด อบต.บางปลา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งตรวจเอกสารการขออนุญาตการใช้รถหลวง ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
โดยปลัด อบต.บางปลา ชี้แจงว่า มีระเบียบการขอใช้รถของทางราชการโดยประชาชนทั่วไปสามารถขอใช้ได้ และ นายกอบต.บางปลา ก็ถือเป็นประชาชน คนหนึ่ง
พศิน ภูแสน ปลัดอบต.บางปลา บอกว่า มีระเบียบการขอใช้รถของทางราชการโดยประชาชนทั่วไปสามารถขอใช้ได้ และ นายกอบต.บางปลา ก็ถือเป็นประชาชน คนหนึ่ง ก็สามารถที่จะนำรถยนต์ของทางราชการไปให้บริกาก เช่นเดียวกับการให้บริการประชาชนทั่วๆไปได้
ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย บอกว่า กรณีนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เคยชี้มูลความความผิดข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และนักการเมืองท้องถิ่นมาแล้ว และเมื่อ ป.ป.ช.ส่งเรื่องฟ้องต่อศาลตามอำนาจหน้าที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบก็เคยมีคำพิพากษาว่ามีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 151 และ 157
เพราะการกระทำในลักษณะนี้อาจเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ.มาตรา 90 ฐานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต จำคุกกระทงละ 5 ปี ซึ่งตาม ม.มีอัตราโทษ จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี หรือ จำคุกตลอดชีวิต และ ปรับตั้งแต่ สองพันบาท ถึง สี่หมื่นบาท)
กรณีเจ้าหน้าที่รัฐนำรถยนต์ราชการ หรือ รถหลวง ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นิวัติไชย เกษมมงคล เผยว่า ป.ป.ช.เคยชี้มูลความผิด ข้าราชการใช้รถหลวงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และส่งเรื่องฟ้องศาลดำเนินการคดีอาญา ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านโตนด อำเภอคีรีมาส จังหวัดสุโขทัย ประกิต พรจันทรารักษ์ และ อดีตธนารักษ์พื้นที่พะเยา จังหวัดพะเยา พัชรินทร์ ทิพยพลาดิกุล เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 2 ราย ที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก และปรับเงิน จากการนำรถยนต์ราชการ หรือ รถหลวงไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
21 ธันวาคม 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 มีคำพิพากษาว่า ประกิต พรจันทรารักษ์ มีความผิดตามมาตรา 151 เมื่อเป็นความผิดอันเป็นบทเฉพาะแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับบทตามมาตรา 157 อันเป็นบททั่วไปอีก ลงโทษจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุก 5 ปี และปรับ 30,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี
นอกกจากนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 มีคำพิพากษาว่า พัชรินทร์ ทิพยพลาดิกุล มีความผิดตามมาตรา 151 , 162 (1) (4) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 151 ซึ่งมีอัตราโทษหนักที่สุด จำคุก5 ปี และปรับ 40,000 บาท
จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 2 ปี 6 เดือนและปรับ 20,000 บาท โดยให้รอการลงโทษจำคุก ไว้มีกำหนด 2 ปี