
25 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ประกอบการรถสองแถวในจังหวัดเชียงใหม่ นำร่องใช้รถEV หรือ รถสองแถวประจำทางที่ใช้ไฟฟ้า 100% รับส่งผู้โดยสาร ที่พัฒนาโดย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
โดยวานนี้(24 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ พบ นายบริสุทธิ์ สันติวัฒนพันธ์ คนขับรถสี่ล้อประจำทาง ที่เปลี่ยนจากรถน้ำมันมาเป็นรถ EV โดยเล่าถึงการให้บริการรถไฟฟ้าแทนน้ำมันเชื้อเพลิงว่า การทดลองใช้รถโดยสาร EV ให้บริการประชาชนมา 2 วันแล้ว โดยก่อนหน้านี้ ก็ได้มีการทดสอบการใช้งานอยู่บ่อยครั้งก่อนจะนำมาใช้งานจริง ซึ่งในเรื่องของการใช้งาน รถโดยสาร EV ถือว่าใช้งานได้ดีกว่า รถโดยสารปกติที่ใช้พลังงานน้ำมัน ที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้ในทุกๆด้าน
เนื่องจากรถโดยสารปกติที่ใช้พลังงานน้ำมัน มีขั้นตอนมากมายก่อนจะนำมาใช้งานได้ในแต่ละครั้ง การมีรถโดยสาร EV จึงถือเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับตน
นอกจากนี้ในเรื่องของผลประกอบการ รถโดยสาร EV ยังทำให้ได้รับผลประกอบการที่ดีขึ้น เพราะรถโดยสารปกติที่ใช้พลังงานน้ำมัน จะมีเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่มาก เช่น ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆภายในรถ การใช้รถโดยสาร EV จึงสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ค่อนข้างมาก แต่ในปัจจุบัน รถโดยสาร EV ยังถือว่ามีจำนวนน้อย โดยหวังว่าในอนาคตเราจะมีรถโดยสารประเภทนี้มากขึ้น
ด้าน ผศ.ดร.อนุชา พรมวังขวา อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ และผู้จัดการโครงการฯ กล่าวว่า นี้ ตนรู้สึกปลื้มใจและพึงพอใจมาก กับโครงการรถโดยสาร EV ที่ผลงานวิจัยตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา ถูกนำมาใช้จริงได้แล้ว ในการบริการประชาชน ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างสูงและอยากต่อยอดโครงการนี้โดยการนำองค์ความรู้ ที่ได้จากการใช้ต้นแบบจากตัวอย่างรถโดยสาร EV ทั้งสองคัน ไปขยายการใช้งานกับรถโดยสารประจำทางที่มีลักษณะเดียวกัน
โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีรถโดยสารในลักษณะเดียวกันนี้อยู่มาก ถ้าจะให้ดีคือ การมีโครงการนำร่องในการผลิตรถสี่ล้อแดง EV ต่อจากนี้จำนวนประมาณ 100 คัน เพื่อจะให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า การดัดแปลงรถโดยสารแบบใช้น้ำมันมาเป็นรถโดยสาร EV นั้นสามารถทำได้และสามารถนำมาใช้งานได้จริง โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลา 6-8 เดือนในการดำเนินงานต่อไป
"ในการเปลี่ยนรถ 2 แถว เป็นรถพลังไฟฟ้า มีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 600,000 บาทต่อคัน ซึ่งยังถือเป็นราคาที่สูงสำหรับผู้ประกอบการ ดังนั้นรัฐบาลควรจะเข้ามาช่วยเหลือด้วย" ผศ.ดร.อนุชา กล่าว
ทั้งนี้ในปัจจุบันนี้รถทั้งสองคันเสร็จเรียบร้อย ระยะทางในการวิ่งจะอยู่ที่ประมาณ 270 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งโดยปกติจะวิ่งอยู่ที่ 150 ถึง 160 กิโลเมตรต่อวัน ทำให้เพียงพอต่อการออกไปรับ-ส่ง ผู้โดยสารตลอดทั้งวัน และรถทั้ง 2 คัน เป็นรถของผู้ประกอบการ ที่มีอายุการใช้งานมานานมากกว่า 10 ปี ที่ปล่อยควันดำที่เป็นมลพิษออกมาจำนวนมาก ซึ่งการเปลี่ยนมาเป็นรถพลังไฟฟ้าก็จะสามารถช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ลงได้ และยังประหยัดมากขึ้น จากเดิมที่ใช้น้ำมัน จะเฉลี่ยอยู่ที่กิโลเมตรละ 3 บาทกว่า แต่หากเปลี่ยนมาเป็นรถไฟฟ้าจะเหลืออยู่ที่กิโลเมตรละ 70 สตางค์
โดยเส้นทางวิ่งมี 2 เส้นทางคือ 1.เชียงใหม่-สันทราย 1 คัน และ 2.เชียงใหม่-สันกำแพง 1 คัน เพื่อนำร่องก่อน และจะมีการติดตามการใช้งานรถทั้งหมด ได้ผ่านมือถือว่า รถแต่ละคันใช้งานไปเท่าไร แบตเตอรี่มีปัญหาหรือไม่ ซึ่งจะมีการเช็กสภาพรถทุก 6 เดือน พร้อมติดตามการใช้งานอย่างน้อย 5 ปี
สำหรับ รถโดยสารแดงที่วิ่งใน จ.เชียงใหม่ มี 3 ประเภทคือ 1.รับผู้โดยสารและวิ่งออกต่างอำเภอ 2.รับนักท่องเที่ยวแล้วไปต่างอำเภอ ซึ่ง 2 ส่วนนี้มีประมาณ 300 คัน และ 3.รถแดงคิวอีกประมาณ 400 คัน ซึ่งรถแดงที่เข้าคิวที่อาเขต รับคนจากรถทัวร์ที่ขนส่งอาเขตหรือจากสถานีรถไฟเข้าไปในตัวเมือง ขณะที่รถแดงอีกกลุ่มหนึ่งวิ่งวนในเมืองประมาณ 1 พันคัน หากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ อาจจะมีการปรับไปใช้ รถโดยสารไฟฟ้าทั้งหมด